กองทัพตบเท้าไม่ปฏิวัติพิสูจน์สัจจะชายชาติทหาร
เป็นปรากฏการณ์ที่ออกมาไม่บ่อยนักกับภาพของ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.)
เป็นปรากฏการณ์ที่ออกมาไม่บ่อยนักกับภาพของ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.)
โดย...ทีมข่าวการเมือง
เป็นปรากฏการณ์ที่ออกมาไม่บ่อยนักกับภาพของ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พร้อมด้วยผู้นำ 4 เหล่าทัพทั้งทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจ ออกมาตบเท้าแถลงข่าวพร้อมกันเมื่อวันที่ 5 เม.ย. เพื่อยืนยันต่อสาธารณชนว่ากองทัพจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารอย่างเด็ดขาดในสถานการณ์ทางการเมือง ณ เวลานี้
หมุนเวลากลับไปเมื่อปี 2551 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในเวลานั้น ได้เคยนำผู้บัญชาการเหล่าทัพออกรายการข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งมาแล้วว่า ทหารจะไม่เป่าแตรขนอาวุธออกมายึดอำนาจรัฐบาล สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในเวลานั้นอย่างแน่นอน แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กำลังก่อการยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองก็ตาม
ยังไม่รวมถึงการออกมาให้สัมภาษณ์ประปรายของบรรดาผู้นำเหล่าทัพต่างกรรมต่างวาระ เพื่อยืนยันในแบบชายชาติทหารว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรทหารก็จะไม่ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน โดยจะปล่อยให้ปัญหาการเมืองแก้ด้วยการเมืองเอง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้กองทัพต้องมาชี้แจงต่อสังคม เป็นเพราะในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ได้ปรากฏข่าวความเคลื่อนไหวของอำนาจนอกระบบ ที่จะเตรียมเข้ามาแทรกแซงการเมือง โดยเฉพาะท่าทีของ สดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในการยืนยันข่าวลือเกี่ยวกับการปฏิวัติว่ามีอยู่จริง
“จากการพูดคุยกับคนอื่นรวมทั้งทหาร ก็มีการพูดถึงว่าทหารมีตัวแล้วว่าจะเป็นใคร ก็มีความรู้สึกว่าขนาดนี้เชียวหรอ ไม่อยากพูดว่าใครที่เราได้ไปคุยด้วย จะมีรัฐบาลที่ตั้งขึ้นตามมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญเชียวเหรอ ข่าวที่ได้ยินมาถึงขนาดมีการวางตัวกันไว้แล้วว่าใครจะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย”
สำทับด้วยการเคลื่อนไหวของของกลุ่ม พธม. ระยะหลังๆ มานี้ได้แสดงความชัดเจนมาตลอดว่า ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองด้วยการรัฐประหาร หรือเรียกง่ายๆ ว่า ออกบัตรเชิญทหารปฏิวัติ
จากกระแสดังกล่าวเริ่มมีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา ว่าการปฏิวัติจะออกมาในรูปแบบใด โดยมีความเป็นไปได้ที่สุด 2 แบบ ได้แก่ ปฏิวัติเงียบและปฏิวัติแบบดัง
ปฏิวัติเงียบ คือ การให้อำนาจนอกระบบเข้ามากดดัน กกต.ให้ลาออกจากตำแหน่งหลังจากนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา เพื่อไม่มีองค์กรตามรัฐธรรมนูญเข้ามาจัดการการเลือกตั้ง
ส่วนการปฏิวัติแบบดัง เป็นการเล่นกันซึ่งๆ หน้าเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง โดยกระทำแบบไม่ให้ฝ่ายการเมืองตั้งตัวได้ทัน เพื่อให้บรรลุประสบผลสำเร็จอย่างรวดเร็วและลดการสูญเสียให้น้อยที่สุดเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549
ทั้งสองแนวทางดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้หรือไม่นั้น มีการวิเคราะห์ไปสารพัดว่า การปฏิวัติจะเกิดขึ้นหากมีกเค้าลางพรรคเพื่อไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้เป็นรัฐบาล เพื่อปิดทางไม่ให้เครือข่ายทักษิณเข้ามามีอำนาจทางการเมืองสำหรับทำการเช็กบิลผู้นำเหล่าทัพในฐานะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกลดทอนลงไปก่อนหน้านี้
นอกจากนี้ ด้วยประวัติศาสตร์ทางการเมืองของกองทัพเอง ทำให้เป็นวาทกรรมที่ยังต้องย้ำความทรงจำของสังคมว่า ไม่มีสัจจะในหมู่ทหาร พูดอย่างทำอย่าง บอกไม่ปฏิวัติแต่ก็ปฏิวัติ หรือครั้งหนึ่งเคยบอกไม่เป็นนายกรัฐมนตรี แต่สุดท้ายก็กลืนน้ำลายตัวเอง
ครั้งหนึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. เคยพูดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2549 ว่า “ยืนยันว่าการปฏิวัติไม่น่าจะมี เราต้องหนักแน่น อย่าไปเชื่อกระแสพวกนี้ แล้วทำให้ความสามัคคีของเราลดลง ขอให้เชื่อมั่นว่าเราตั้งใจที่จะทำให้ประเทศชาติมีความสงบ มีความเรียบร้อย”
แต่ถัดมาอีก 6 วัน บิ๊กบังกลายเป็นผู้นำการปฏิวัติเสียเอง ด้วยการแบบนามธรรมว่าเป็นความต้องการของประชาชน
นอกจากนี้ สมัย รสช. ยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผบ.ทบ. ขณะนั้น ประกาศจะไม่รับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่คล้อยหลังไม่นานก็เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหน้าตาเฉย โดยให้เหตุผลว่า “เสียสัตย์เพื่อชาติ”
จึงไม่แปลกหากจะมีบางฝ่ายไม่เชื่อคำพูดของทหารอีก แม้ว่ากองทัพในสมัยของ พล.อ.อนุพงษ์ เคยจะพิสูจน์ถึงความอดทนของทหารมาแล้วในช่วงปี 25512552 มาแล้วว่า ถึงต่อให้การเมืองวุ่นวายอย่างทหารจะไม่เข้าไปแทรกแซงแน่นอนก็ตาม
ขณะเดียวกันเมื่อมองสถานการณ์ ณ เวลานี้แล้ว ในใจของผู้นำเหล่าทัพประเมินแล้วว่า ยากต่อการปฏิวัติ เพราะอารมณ์ของสังคมได้เข้าสู่การเลือกตั้งเรียบร้อย ฝืนทำรัฐประหารคำว่า “จำเลยสังคม” คงตกหล่นใส่ทหารอย่างเต็มๆ แน่นอน ในฐานะทื่ทำให้ประเทศต้องถอยหลังลงคลอง พร้อมกับการไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
แบบนี้รัฐบาลที่มาจากปากกระบอกปืนถึงจะอยู่ในอำนาจได้ แต่ก็ลำบากในการปกครองประเทศ แล้วจะมีประโยชน์อะไรหากมีอำนาจในเวลานี้ จึงเป็นการได้ไม่คุ้มเสีย
จากเหตุผลทั้งหมดนื้ ทำให้ทหารต้องออกมาตบเท้าแสดงสัจจะต่อประชาชนว่า อย่างไรเสียทหารจะไม่เข้าไปแทรกแซงการเมืองแน่นอน และหากเป็นไปตามนี้ ทหารคงจะได้รับการยอมรับจากประชาชนมากขึ้น
ถึงกระนั้น ปรากฏการณ์เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ไม่ได้เป็นหลักประกันได้ว่าทหารไทยจะไม่กลืนน้ำลายตัวเองอีกหลังจากประวัติศาสตร์ได้ฟ้องเอาไว้
ที่สุดแล้วคงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คำว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร หรือจะเติมคำว่า ไม่มีสัจจะในหมู่ทหาร เข้าด้วย อีกไม่นานจะได้รู้กัน


