การอารักขาผู้นำประเทศ
...ภุมรัตน์ ทักษาติพงษ์
เห็นข่าวเรื่องหญิงคนหนึ่งบุกขึ้นไปถึงตัวและยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะกำลังกล่าวคำปาฐกถาบนเวทีหนึ่ง และปล่อยให้เธอโวยวายอยู่เป็นนาทีก่อนที่เจ้าหน้าที่ รปภ.จะนำตัวเธอลงมา นอกจากสร้างความตกตะลึงให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์ และเจ้าหน้าที่ รปภ.แล้ว ยังสร้างความกังวลให้แก่คนที่สนใจในปัญหารักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญของประเทศด้วย
นี่เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับชุด รปภ.ที่อารักขานายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ไม่สำคัญว่านายกรัฐมนตรีคนนั้นจะชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนายสมัคร สุนทรเวช หรือนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือจะชื่อนายอะไร มีความคิดและความเชื่อทางการเมืองแบบไหน หรือจะใส่เสื้อสีใดก็ตาม ความปลอดภัยของผู้นำถือว่าสำคัญที่สุด
โชคดีที่หญิงคนนี้เพียงต้องการยื่นข้อเรียกร้องขอให้นายกรัฐมนตรีช่วยเหลือเรื่องเฉพาะตัว หากเธอเป็นผู้ก่อการร้ายหรือมีวัตถุประสงค์ต้องการทำร้ายนายกรัฐมนตรี ป่านนี้ นายกฯ อภิสิทธิ์คงเหลือแต่ชื่อ
เพียงแค่หญิงคนนี้เข้าไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีก่อนชุด รปภ.เพียงวินาที เธอก็สามารถสังหารนายกรัฐมนตรีได้อย่างสบาย หากเธอเป็นผู้ก่อการร้ายจริงๆ
อย่าคิดว่าการสังหารผู้นำประเทศไทยเป็นไปไม่ได้ ในต่างประเทศผู้นำหลายคนถูกสังหารทั้งจากคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงหรือใช้ระเบิดพลีชีพ
ในสมัยก่อน ชุด รปภ.อารักขาผู้นำประเทศมักเป็นของ ตำรวจสันติบาล แต่ระยะหลังเนื่องจากผู้นำหลายคนมาจากทหาร เพราะฉะนั้นชุด รปภ.นายกรัฐมนตรีจึงมักมาจากทหาร หน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงคือ ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) บก.ทหารสูงสุด ซึ่งรับผิดชอบการอารักขาบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ และจัดส่งไปอารักขาผู้นำประเทศหลายคน
ระยะหลัง เมื่อสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไปและเกิดความวุ่นวายมากขึ้น ผู้นำประเทศเปลี่ยนมาใช้ชุด รปภ.บุคคลสำคัญจาก ศูนย์สงครามพิเศษ แทน เมื่อมีทหารแตงโมมากขึ้นไม่เว้นแม้แต่ในหน่วยหมวกแดง ชุด รปภ.ผู้นำทางการเมืองและกองทัพอาจมาจาก กองทัพภาค หรือจาก บูรพาพยัคฆ์ มาแทน ซึ่งเป็นเรื่องของความไว้วางใจเป็นสำคัญ เพราะหน่วยอารักขาบุคคลสำคัญเป็นคนที่เข้าถึงผู้นำได้ใกล้ชิดมากกว่าคนอื่น ถ้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญเล่นไม่ซื่อ แทนที่จะให้ความคุ้มครองป้องกันผู้นำประเทศ ก็อาจสังหารบุคคลได้อย่างง่ายดาย เช่น กรณีเจ้าหน้าที่อารักขานางอินทิรา คานธี ถูกทหารอารักขายิงตายเพราะความเชื่อทางการเมืองไม่ตรงกัน
การอารักขาผู้นำประเทศที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้นำมักไม่อยากให้หน่วยอารักขาคอยกีดกันประชาชนไม่ให้เข้าถึงตัว โดยเกรงจะเสียคะแนนนิยม หรือผู้นำชอบแหกแผน รปภ.โดยเดินไปหาประชาชนดื้อๆ เพื่อหาเสียง ทำให้เจ้าหน้าที่อารักขาต้องวิ่งวุ่นไปตามๆ กัน เพราะการอารักขาบุคคลสำคัญประการหนึ่งคือ ต้องไม่ให้คนเข้าถึงผู้นำได้ง่ายๆ
ทีม รปภ.อารักขาผู้นำของไทยทำงานได้ไม่เต็มที่ตามทฤษฎี เพราะหากกันผู้สื่อข่าวไม่ให้เข้าใกล้ผู้นำเกินไปก็ถูกด่า ในขณะที่ผู้นำก็ไม่ค่อยเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญมากนัก บางทีผู้นำไม่อยากให้เจ้าหน้าที่อารักขาติดตามไป โดยอ้างว่าเป็นเรื่องของครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัว เขาควรเข้าใจว่า ไม่ว่าจะไปไหน เจ้าหน้าที่ก็ต้องติดตามไปอารักขาตลอดเวลา เพราะเป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องอารักขานายกรัฐมนตรีหรือผู้นำประเทศ ไม่ได้อารักขานาย ก. หรือนาย ข.
หากใครเดินทางร่วมในคณะนายกรัฐมนตรีไปเยือนต่างประเทศ เช่น เกาหลีใต้ คงจะเห็นระบบ รปภ.บุคคลสำคัญของประเทศของเขา และแขกของผู้นำอย่างเข้มงวด โดยไม่สนใจผู้สื่อข่าวหรือคนที่มามุงดู คนพวกนี้ถือหน้าที่สำคัญที่สุด ใครที่เข้ามาใกล้บุคคลสำคัญอาจถูกจับเหวี่ยงกระเด็น หรือถูกกระแทกจนล้มลุกคลุกคลาน ผู้สื่อข่าวจะเอาไมโครโฟนมายื่นจ่อปากสัมภาษณ์ผู้นำโดยไม่รู้จักกาลเทศะไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนด
เคยมีตัวอย่างขณะที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งอังกฤษเสด็จเยือนออสเตรเลีย (ถ้าจำไม่ผิด) กำลังกล่าวคำปราศรัย มีชายคนหนึ่งวิ่งเข้าไปหาพระองค์ในท่าทีที่ไม่เป็นมิตร เจ้าหน้าที่ รปภ.ใช้เท้าสอดเข้าไปขัดขาจนชายคนนั้นล้มลงและถูกลากตัวออกไป สะท้อนให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่อารักขาบุคคลสำคัญต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา และกล้าตัดสินใจภายในเสี้ยววินาที เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากปล่อยให้ชายคนนั้นเข้าถึงตัวเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ได้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายกฯ อภิสิทธิ์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญของทีมงานอารักขานายกรัฐมนตรี โดยทราบว่าผู้รับผิดชอบได้เรียกประชุมทบทวนข้อบกพร่องและหาทางแก้ไขเป็นการด่วนไปแล้ว ที่สำคัญคือ นอกจากทีมงานต้องถือเอาภารกิจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและต้องไม่เกรงใจใครแล้ว ผู้นำประเทศตลอดจนสื่อมวลชน ประชาชนต้องเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของชุดอารักขานายกรัฐมนตรีด้วย เพราะเรื่องของ รปภ.ผู้นำประเทศจะมาทำแบบไทยๆ คงไม่ได้ เนื่องจากหากเกิดผิดพลาดขึ้นมา ความสูญเสียที่เกิดขึ้นไม่อาจแก้ตัวอีกครั้งได้


