posttoday

ผลวิจัยชี้ไทยขัดแย้งลึก

09 กุมภาพันธ์ 2554

งานวิจัย สกว. ชี้ความขัดแย้งไทยบาดลึก เหตุไม่สนคำว่า "win-win" ระบุการก่อความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นฝีมือไอ้โม่ง แนะขั้วขัดแย้งร่วมหาทางออกที่เหมาะสมแทนการแพ้-ชนะ 

งานวิจัย สกว. ชี้ความขัดแย้งไทยบาดลึก เหตุไม่สนคำว่า "win-win" ระบุการก่อความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นฝีมือไอ้โม่ง แนะขั้วขัดแย้งร่วมหาทางออกที่เหมาะสมแทนการแพ้-ชนะ 

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัย( สกว.)    ได้มีการนำเสนอรายงาน “บทเรียนจากการชุมนุมและความรุนแรงทางการเมืองในช่วงเดือน มี.ค.- พ.ค. 2553”    รายงานโดยโครงการยุทธศาสตร์สันติวิธีสำหรับสังคมไทยในศตวรรษที่ 21  โดยนายชัยวัฒน์ สถาอานันท์  อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในคณะทำงาน กล่าวถึงภาพรวมรายงานว่า  การประท้วงที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นมีทั้งหมด 408 เหตุการณ์ โดยส่วนใหญ่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ จำนวน  165 เหตุการณ์  และทำให้ลุกลามไปในพื้นที่อื่นๆ เช่น  เชียงใหม่  ขอนแก่น  นครราชสีมา เป็นต้น 

ผลวิจัยชี้ไทยขัดแย้งลึก

ทั้งนี้การชุมนุมที่เกิดขึ้น60% หรือ 247 เหตุการณ์เป็นการชุมนุมโดยสงบ  อีก 37%  หรือ 153 เหตุการณ์มีการใช้ความรุนแรงทั้งการปะทะ การยิง  การระเบิดและการเผา 

ขณะที่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของ “ผู้กระทำการที่ไม่รู้จัก”มากที่สุด จำนวน 86 เหตุการณ์หรือ 98% ขณะที่คนเสื้อแดงมีการใช้ความรุนแรง 20 เหตุการณ์  เกิดจากทหารและตำรวจ 18 เหตุการณ์  โดยมีผู้เสียชีวิต 92 คน และบาดเจ็บ 1508 คน ถูกจับกุม 441 คน  โดยความรุนแรงที่เกิดขึ้น ช่วงแรกระเบิดไม่ได้มุ่งเอาชีวิตแต่พอไม่ได้ผลจึงมีการใช้ระเบิดเพื่อมุ่งเอาชีวิต   และตอนแรก”กลุ่มที่ไม่รู้จัก” ใช้ความรุนแรงจำนวนมาก แต่หลังๆ นปช.เริ่มใช้ความรุนแรงมากขึ้น   ทำให้มีการโต้ตอบตามมา ทำให้กลุ่มที่อยากใช้ความรุนแรงซึ่งแต่ก่อนเป็นคนส่วนน้อยกลายเป็นกระแสหลักของการขุมนุมในที่สุด

ด้าน นายมาร์ค ตามไท ผู้อำนวยการสถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ   มหาวิทยาลัยพายัพ กล่าวว่า ทางคณะทำงานมีความเห็นว่าเหตุที่ทำให้การชุมนุมประท้วงอย่างสันติจบลงด้วยความรุนแรง เกิดจากกระบวนการตัดสินใจของทั้ง 2 ฝ่ายมีปัญหา  เพราะการเข้าใจความหมายของคำว่า “การไม่ใช้ความรุนแรง”, “การใช้ความรุนแรง” และ “สันติวิธี”   ไม่ตรงกัน  ดังนั้น  ถ้าอยากจะให้สันติวิธีเดินหน้า สังคมไทยต้องหาความหมายนี้ให้ลงตัวและมีความเห็นในทางทิศทางเดียวกัน ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม ซึ่งทั้ง 3 คำนี้ไม่สามารถหาความหมายโดยการใช้กฎหมาย

คณะทำงานเห็นว่าการความขัดแย้งของสังคมไทยไม่ต้องการคำว่า win-win หรือชัยชนะร่วมกัน อีกต่อไปแล้ว เพราะจุดยืนของคู่ขัดแย้งต้องการให้อีกฝ่ายแพ้  โดยฝ่ายหนึ่งอยากจะเปลี่ยนโครงสร้างอำนาจของสังคมที่เกี่ยวกับสถาบันสำคัญของประเทศ แต่อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยและป้องกันเต็มที่ทำให้หาทางออกไม่ได้เพราะไม่มีจุดร่วมที่เหมือนกัน   ดังนั้น สิ่งที่สังคมไทยควรมีการสร้างบทสนาใหม่ร่วมกันว่า  “ประเทศไทยควรจะอยู่อย่างไรถึงจะดีที่สุดสำหรับประเทศไทย”  เพื่อให้พ้นกรอบอีกฝ่ายชนะ-อีกฝ่ายแพ้

เหตุที่การชุมนุมอย่างสันติกลายเป็นความรุนแรง เพราะความล้มเหลวในการเจรจา เพราะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทำให้โลกทัศน์ของคนในสังคมแตกต่างกันมาก  ดังนั้นต้องศึกษาการเจรจาเพื่อให้คนที่มีโลกทัศน์ต่างกันเจรจากันให้ได้   ขณะที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านที่เกิดขึ้นควรจะมีการนิยามคำว่าความมั่นคงให้เป็นเอกภาพ  และต้องมีหลายๆทางเลือกเพื่อให้สังคมไทยมีความมั่นคงที่ยั่งยืนมากที่สุด

ข่าวล่าสุด

คลัง ยันยุบสภาฯไม่สะดุดเศรษฐกิจ ชี้กระทบปี 69 วงจำกัด คาด GDP โต 2%