ภูมิทัศน์การเมืองไทย 2569: ศึก 3 ขั้ว เกมอำนาจใต้สมการล็อกสเปก
ปี 2569 คือจุดตัดชะตาการเมืองไทย ศึกเลือกตั้งใหญ่ปะทะเกมอำนาจรัฐพันลึก สามขั้วสีงัดทุกกลยุทธ์ ท่ามกลางคำถามว่าเสียงประชาชนจะล้มสมการล็อกสเปกได้จริงหรือไม่
KEY
POINTS
- การเมืองไทยปี 2569 ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นการแข่งขันของ 3 ขั้วอำนาจหลัก คือ ขั้วสีส้ม (พรรคประชาชน), ขั้วสีแดง (พรรคเพื่อไทย) และขั้วสีน้ำเงิน (พรรคภูมิใจไทย)
- ผลการเลือกตั้งถูกมองว่าอาจเป็นไปตาม 'สมการล็อกสเปก' ที่กำหนดโดยปัจจัยนอกคูหา เช่น เงินทุน การดูด ส.ส. และบทบาทของรัฐพันลึก
- สมการจัดตั้งรัฐบาลมีแนวโน้มเป็นสูตรผสมระหว่างขั้วสีน้ำเงินและสีแดง (ภูมิใจไทย-เพื่อไทย) เพื่อรักษาเสถียรภาพของกลุ่มอำนาจเดิม ขณะที่ขั้วสีส้มเผชิญอุปสรรคสำคัญ
ปี 2569 จุดตัดอำนาจประชาชนกับโครงสร้างเดิม
การเมืองไทยปี 2569 เปิดฉากด้วยความหมายมากกว่า “การเลือกตั้ง” แต่คือการชี้ชะตาว่าระบอบประชาธิปไตยจะเดินหน้าได้เพียงใด ภายใต้กติกาและโครงสร้างอำนาจที่ยังไม่เปลี่ยน การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นต้นปี ไล่ไปจนถึงการเลือกตั้งใหญ่ 8 กุมภาพันธ์ กลายเป็นเส้นทางทดสอบความชอบธรรมของระบบทั้งชุด
ในเชิงโครงสร้าง จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 53 ล้านคน และการกระจาย ส.ส. ตามสูตรประชากร ทำให้บางจังหวัดเป็น “สมรภูมิยุทธศาสตร์” ที่พรรคใหญ่ต้องทุ่มทุกทรัพยากร โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และหัวเมืองหลักภาคอีสาน–เหนือ ซึ่งเป็นพื้นที่ชี้ขาดสมการอำนาจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กำหนดผลลัพธ์จริง ไม่ได้อยู่แค่คูหาเลือกตั้ง หากแต่อยู่ที่ “เงื่อนไขเบื้องหลัง” ทั้งเงินทุน การดูด สส. และบทบาทกลไกรัฐที่พร้อมแทรกแซงเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของชนชั้นนำ
ศึกสามขั้ว ภายใต้วงจรเงิน อุดมการณ์ และรัฐพันลึก
การเลือกตั้งครั้งนี้คือการปะทะกันของ 3 ขั้วอำนาจชัดเจน ได้แก่ พรรคประชาชน (ส้ม), พรรคเพื่อไทย (แดง) และพรรคภูมิใจไทย (น้ำเงิน) ซึ่งแต่ละพรรคมีฐานคิด ยุทธศาสตร์ และผู้เล่นหลังฉากแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ขั้วส้ม นำโดย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ แบกความหวังการเปลี่ยนแปลงของคนรุ่นใหม่ ชูการเมืองปลอดทุนเทา แต่ต้องเผชิญแรงต้านจากโครงสร้างอำนาจเดิม ขณะที่ขั้วแดง พรรคเพื่อไทย พยายามรีแบรนด์ด้วยภาพนักวิชาการ แต่ยังไม่อาจหลุดจากเงาของ ทักษิณ ชินวัตร
ด้านขั้วน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ อนุทิน ชาญวีรกูล ใช้เครือข่ายบ้านใหญ่และอำนาจรัฐเป็นฐานกำลังสำคัญ โดยมี เนวิน ชิดชอบ เป็นผู้วางเกมหลัก สิ่งนี้ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า น้ำเงินคือ “พรรคแกน” ที่รัฐพันลึกพร้อมสนับสนุน
เบื้องหลังทั้งหมด คือวงจรเงินการเมือง ตั้งแต่การระดมทุน ดูดตัวผู้สมัครเกรด A จนถึงการใช้รัฐเป็นเครื่องมือทดแทนคะแนนเสียง ซึ่งยังคงเป็นโครงสร้างหลักที่ยากจะรื้อถอน
สมการจัดตั้งรัฐบาล กับคำถามใหญ่ของประชาธิปไตย
เมื่อผลคะแนนออกมา สมรภูมิที่แท้จริงจะย้ายจากคูหาเลือกตั้งสู่โต๊ะเจรจา สมการรัฐบาลมีแนวโน้มเป็น “2 ต่อ 1” ระหว่างสามขั้ว โดยสูตรที่ถูกจับตาสูงสุดคือ น้ำเงิน–แดง ซึ่งสอดรับกับความต้องการเสถียรภาพของชนชั้นนำ
สูตร ส้ม–แดง แม้เป็นความหวังของฝ่ายประชาธิปไตย แต่ถูกมองว่าเป็น “เส้นต้องห้าม” ของรัฐพันลึก ขณะที่สูตร ส้ม–น้ำเงิน แทบเป็นไปไม่ได้ในเชิงอุดมการณ์ นอกเหนือจากนั้น ยังมีตัวแปร “สีเขียว” หรืออำนาจนอกสภา ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกบังคับเกมโดยไม่ต้องลงสนามเอง
ทั้งหมดสะท้อนว่า การเลือกตั้ง 2569 อาจไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของกระบวนการต่อรองอำนาจที่ยาวนาน และซับซ้อนกว่าที่ประชาชนเห็น
การเมืองไทยปี 2569 คือการปะทะกันของเสียงประชาชนกับโครงสร้างอำนาจเดิม แม้เกมล็อกสเปกจะถูกออกแบบไว้อย่างแนบเนียน แต่พลังโหวตสั่งสอนยังเป็นความไม่แน่นอนเดียวที่อาจสั่นคลอนสมการรัฐพันลึกได้ หากประชาชนเลือกใช้สิทธิอย่างมีเป้าหมาย
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
แหล่งที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์ (คลิ๊กอ่าน)


