posttoday

"รัดเกล้า" ย้ำจุดยืนประชาธิปัตย์ ปกป้องสถาบัน ไม่เอาการเมืองเทา

27 ธันวาคม 2568

"เนเน่ รัดเกล้า" ตั้งคำถามการเมืองไทย ทำไมจริยธรรมกับการปกป้องสถาบันต้องแยกกัน? ย้ำจุดยืน "ประชาธิปัตย์" ขีดเส้นชัดซื่อสัตย์สุจริต ปกป้องสถาบัน ไม่เอาการเมืองเทา และไม่ร่วมงานพรรคสร้างความแตกแยกในสังคม

รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี ได้แสดงความคิดเห็นต่อสถานการณ์การเมืองไทยผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่า ไหน ๆ ก็ถูกเรียกว่า “เนเน่นักการเมืองโลกสวย” วันนี้เนเน่ขอใช้ความเป็นโลกสวยนี่แหละ มองการเมืองอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา จากการได้อ่านและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประชาชนผ่านคอมเมนต์ต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

 

หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ ริเริ่มเสนอ “ขีดเส้นจริยธรรมทางการเมือง” อย่างชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นคือสัญญาณเชิงบวกต่อระบบการเมืองโดยรวม เพราะพรรคการเมืองหลายพรรคเริ่มแสดงจุดยืนของตนเองอย่างตรงไปตรงมา เปิดพื้นที่ให้ประชาชนได้ “เลือก” บนความชัดเจน ไม่ใช่ความคลุมเครือไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชน หรือพรรคภูมิใจไทย ต่างก็ขีดเส้นของตนเองขึ้นมา ซึ่งถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างยิ่ง

 

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เราขีดเส้นชัดเจนในเรื่อง ความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากการเมืองสีเทา ขณะที่พรรคภูมิใจไทยขีดเส้นเรื่อง ความมั่นคงของชาติและการปกป้องสถาบันหลัก ไม่ยอมรับการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย

 

ทั้งสองเส้นนี้ ล้วนเป็นการนำเสนอที่ตรงไปตรงมา และควรได้รับการยอมรับว่าเป็นพัฒนาการที่ดีของการเมืองไทย

 

แต่ก็มีคำถามจากประชาชนจำนวนไม่น้อยว่า ในเมื่อพรรคภูมิใจไทยเน้นเส้นความมั่นคงและการปกป้องสถาบัน แล้วพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ตรงไหนในประเด็นนี้

 

คำตอบคือ พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันมาโดยตลอด ตั้งแต่วันก่อตั้งพรรค ว่าเราดำเนินการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจุดยืนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

 

ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้าพรรคคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ย้ำอย่างชัดเจนบนเวทีดีเบตว่า พรรคใดก็ตามที่มีนโยบายสร้างความแตกแยกในสังคม พรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถร่วมได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งทุกคนย่อมทราบดีว่านโยบายที่ก่อให้เกิดความแตกแยกนั้นคืออะไร

 

ดังนั้น คำถามที่ผู้รักสถาบัน รักความมั่นคงของชาติ ควรถามกันอย่างจริงจังคือ เหตุใด “สองเส้น” เส้นจริยธรรมทางการเมืองที่ปลอดจากทุนสีเทา และเส้นการปกป้องสถาบัน ไม่ยอมรับการเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ จึงถูกทำให้ดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ต้องแยกจากกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งสองเส้นควรหลอมรวมเป็นเส้นเดียวกันได้ และควรเป็นมาตรฐานพื้นฐานของการเมืองที่ดี ไม่ใช่เพียงภาพฝันหรือจินตนาการทางการเมือง

 

มีเสียงวิจารณ์ว่าการขีดเส้นของพรรคประชาธิปัตย์ เท่ากับการประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย สิ่งที่เราทำคือการยืนยันว่า การเมืองที่ซื่อสัตย์สุจริต และการปกป้องสถาบันกับความมั่นคงของชาติ สามารถเดินไปพร้อมกันได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน

 

ถ้าย้อนกลับไปดูการเลือกตั้งปี 2562 และ 2566 จะเห็นชัดว่ามีพรรคสีส้มสามารถรวบรวมพลังศรัทธาของผู้คนจำนวนมากไว้ด้วยกัน ฝั่งหนึ่งคือประชาชนที่ยังรักชาติและเคารพสถาบันสูงสุด แต่ไม่อาจยอมรับการเมืองที่พัวพันกับทุนเทาและคอร์รัปชัน จนรู้สึกว่าตัวเองแทบไม่มีทางเลือก

 

บวกกับอีกฝั่งหนึ่งคือประชาชนที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเดิมของประเทศ และกล้าตั้งคำถามต่อสถาบันหลัก เมื่อพลังจากคนสองกลุ่มที่ต่างความคิดแต่มีความอัดอั้นร่วมกันมารวมตัวกันมากพอ จึงกลายเป็นแรงสำคัญที่กำหนดทิศทางการเมืองไทยอย่างชัดเจน

 

แม้แต่บ้านใหญ่หลายแห่งที่เคยคิดว่าอ่านเกมขาด ยังประเมินพลังและความรู้สึกของ ประชาชนต่ำกว่าความเป็นจริง ตั้งรับกระแสการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน

 

บทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งนั้นชัดเจนว่า การเมืองยุคนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอำนาจเดิม กระสุน หรือการคำนวณตัวเลขแบบเก่าอีกต่อไป แต่คือการเข้าใจหัวใจของประชาชน ความหวัง และศรัทธาที่ผู้คนฝากไว้กับการเมืองอย่างแท้จริง

 

คำถามสำคัญของเราวันนี้คือ

 

ทำไมฝั่งของเราจึงไม่เชื่อในพลังศรัทธาของประชาชนของเราเอง

 

ทำไมเราถึงคิดว่าเส้นจริยธรรมที่ไร้ทุนสีเทา และเส้นการปกป้องสถาบันกับความมั่นคงของชาติ จะไม่สามารถรวมเป็นเส้นเดียวกันและเกิดขึ้นจริงได้

 

นี่คือคำถามใหญ่ที่อยากชวนทุกคนคิดร่วมกัน

 

สุดท้าย พรรคประชาธิปัตย์ เลือกยอมลดอำนาจการต่อรองทางการเมือง ด้วยการประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนว่า ไม่เอาการเมืองสีเทาที่เป็นที่ประจักษ์ แม้เส้นทางสู่การร่วมรัฐบาลจะยากขึ้น แต่สิ่งที่เราได้คือการตั้ง “มาตรฐานการเมืองใหม่” ให้สังคมไทย

 

จากนี้ไป ทุกอย่างอยู่ที่ประชาชน หากประชาชนเลือกพรรคประชาธิปัตย์ มากพอ เราจะเป็นตัวแปรสำคัญในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่ยึดหลักจริยธรรม คุณธรรม ความซื่อสัตย์ และการปกป้องสถาบันกับความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริง

 

ข่าวล่าสุด

พรรคกล้าธรรม ส่ง 3 ผู้สมัครชิง สส.พะเยา ครบทั้ง 3 เขต