พลังดูดภูมิใจไทย บ้านใหญ่ไหลรวม เปลี่ยนเกมการเมืองไทย
ปรากฏการณ์ย้ายพรรคครั้งใหญ่ทำให้ภูมิใจไทยสะสมขุมกำลังบ้านใหญ่ทั่วประเทศ ขึ้นแท่นผู้เล่นหลักสมการจัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางโจทย์พื้นที่ทับซ้อน การบริหารความขัดแย้ง
KEY
POINTS
- พรรคภูมิใจไทยใช้กลยุทธ์ “พลังดูด” ดึงอดีต ส.ส. และกลุ่มบ้านใหญ่จากหลายพรรคเข้าร่วม ทำให้มีศักยภาพ ส.ส. ในมือจำนวนมากและกลายเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล
- การเคลื่อนไหวนี้เป็นการเปลี่ยนเกมการเมืองจากการพึ่งพากระแสพรรค มาเป็นการใช้ฐานเสียงส่วนตัวของนักการเมืองในพื้นที่เพื่อยึดที่นั่ง ส.ส. พร้อมกับตัดกำลังพรรคคู่แข่ง
- ความท้าทายหลักคือการบริหารจัดการความขัดแย้งภายในจาก “พื้นที่ทับซ้อน” ระหว่างผู้สมัครใหม่และเก่า ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ภาวะผู้นำของพรรคในการสร้างเอกภาพก่อนการเลือกตั้ง
ภาพใหญ่ทันที—พลังดูดสีน้ำเงินกำลังทำงาน
กระแสย้ายพรรคครั้งใหญ่ของอดีต ส.ส. สู่พรรคภูมิใจไทย สะท้อนการจัดวางอำนาจก่อนเลือกตั้งอย่างชัดเจน ภายในเวลาไม่นาน พรรคสะสมกำลังได้กว่า 130 ที่นั่งเชิงศักยภาพ กลายเป็น “แม่น้ำสีน้ำเงิน” ที่ทุกสายธารทางการเมืองต้องหันมามอง การเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่เพียงการเสริมจำนวน แต่คือการยึดหัวหาดเชิงพื้นที่ในจังหวัดยุทธศาสตร์
ในเชิงยุทธศาสตร์ นี่คือการลงทุนแบบ “ปริมาณคูณคุณภาพ” อาศัยฐานเสียงส่วนตัวของบ้านใหญ่และนักการเมืองพื้นที่ เพื่อชดเชยความเสี่ยงการสอบตกตามสถิติ การเมืองจึงขยับจากการแข่งขันเชิงกระแส ไปสู่การปักหมุดเชิงโครงสร้าง
ผลลัพธ์เบื้องต้นทำให้ภูมิใจไทยถูกจัดวางเป็นผู้เล่นหลักในสมการจัดตั้งรัฐบาลล่วงหน้า แม้ยังไม่รู้ผลเลือกตั้ง แต่ “ความพร้อม” กลายเป็นอำนาจต่อรองทันที
ผังขุมกำลัง—บ้านใหญ่คือหัวใจ
การหลั่งไหลไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน หากแต่เป็นการรวมตัวของกลุ่มบ้านใหญ่จากหลายภูมิภาค ตั้งแต่ภาคกลาง ภาคตะวันออก จนถึงอีสาน กลุ่มชลบุรีและสุพรรณบุรี–นครปฐม เพิ่มน้ำหนักเชิงเศรษฐกิจ ขณะที่กลุ่ม กทม. จากอดีต กปปส. คือการเดิมพันสนามเมือง
นัยสำคัญคือการ “ทลายฐานเดิม” ของพรรคคู่แข่งบางพื้นที่ โดยเฉพาะบ้านใหญ่ที่เคยเหนียวแน่น การย้ายครั้งนี้จึงตัดกำลังคู่แข่งไปพร้อมกัน และเสริมความแน่นของตัวเอง
ในภาพรวม พรรคกำลังสร้างแผนที่เลือกตั้งใหม่ ที่ไม่พึ่งกระแสส่วนกลางเพียงอย่างเดียว แต่ใช้เครือข่ายพื้นที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
ดาบสองคม—พื้นที่ทับซ้อนและบททดสอบผู้นำ
ความท้าทายใหญ่คือ “พื้นที่ทับซ้อน” เมื่อผู้สมัครใหม่ชนกับบ้านใหญ่เดิม ความขัดแย้งเชิงประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอาจปะทุได้ กรณีศรีสะเกษสะท้อนว่า หากจัดการไม่ลงตัว อาจเสียผู้เล่นเกรดเอไปให้พรรคอื่น
โจทย์จึงตกอยู่ที่การบริหารจัดการภายในของผู้นำพรรค โดยเฉพาะ อนุทิน ชาญวีรกูล ว่าจะเปลี่ยนความหลากหลายให้เป็นเอกภาพได้หรือไม่ หากสำเร็จ พลังดูดจะกลายเป็นเครื่องจักรเลือกตั้งทรงพลัง หากล้มเหลว อาจเกิดการหักกันเองก่อนถึงวันจริง
การเมืองรอบนี้จึงไม่ใช่แค่ใครมีคนมากกว่า แต่ใคร “จัดการคน” ได้ดีกว่า
คลื่นย้ายพรรคสู่ภูมิใจไทยคือการจัดวางอำนาจล่วงหน้า สร้างความได้เปรียบเชิงพื้นที่และสมการจัดตั้งรัฐบาล แต่ต้องแลกกับความเสี่ยงพื้นที่ทับซ้อน บทพิสูจน์อยู่ที่การบริหารเอกภาพภายในก่อนวันเลือกตั้ง
เรียบเรียง: อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา: เนชั่นอินไซต์ (คลิ๊กชม)


