ดร.ณัฏฐ์ชี้บัตรเลือกตั้ง2ใบ เอื้อรัฐบาลผสมไม่มีพรรคไหนชนะขาด
ดร.ณัฏฐ์วิเคราะห์ เลือกตั้ง69 บัตร2ใบ เอื้อรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดครองเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ชี้การเปิดตัวทีมว่าที่รองนายกฯ ทำได้ตามกฎหมาย เป็นกลยุทธ์ปลุกกระแสเลือกตั้ง
KEY
POINTS
- ดร.ณัฏฐ์ชี้ว่าระบบเลือกตั้งแบบใช้บัตร 2 ใบ ทำให้ไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถชนะการเลือกตั้งแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือได้ ส.ส. เกิน 250 ที่นั่ง
- การที่พรรคการเมืองเปิดตัวทีม "ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี" ไม่ถือว่าผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายพรรคการเมือง เพราะไม่มีข้อบัญญัติห้ามไว้
- การเปิดตัวทีมรองนายกฯ เป็นเพียงกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อดึงดูดคะแนนเสียง โดยอำนาจการแต่งตั้งจริงยังคงเป็นของนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง
ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ทำให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เปิดตัวผู้สมัครและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของแต่ละพรรคอย่างคึกคัก รวมถึงการเปิดตัวรายชื่อ “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” ของบางพรรคการเมืองด้วย
ล่าสุด “ดร.ณัฏฐ์” หรือ ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน ได้ให้ความเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะว่า ภายหลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้ระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่เรียกว่า “ระบบเลือกตั้งแบบผสม” จากเดิมที่ใช้ระบบรวมเขตเรียงเบอร์ มาเพิ่มระบบบัญชีรายชื่อ ส่งผลให้จำนวน ส.ส.เขตลดลง และเพิ่มสัดส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เปิดโอกาสให้กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอาชีพ และกลุ่มสตรีในพรรคการเมืองต่าง ๆ เข้าถึงการเป็นตัวแทนประชาชนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบดังกล่าวยังเปิดช่องให้กลุ่มทุนยังคงเข้ามามีบทบาทในธุรกิจการเมืองควบคู่กับพรรคการเมือง เนื่องจากเกมการเมืองทำให้พรรคการเมืองที่ไม่มีความพร้อมด้านทุนเลือกตั้งย่อมเสียเปรียบ จึงเกิดปรากฏการณ์ทุนเทาและทุนข้ามชาติเข้ามาเตรียมการเลือกตั้ง โดยเฉพาะตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อในลำดับต้น ๆ ซึ่งกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มทุนหัวจ่าย
แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับล่าสุด จะบัญญัติห้ามบุคคลภายนอกครอบงำพรรค เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนเข้ามาควบคุมพรรคจนขาดอิสระในการบริหาร และมีเจตนารมณ์ให้เป็นพรรคของประชาชน โดยกำหนดให้สมาชิกพรรคต้องชำระค่าบำรุงพรรคเพื่อมีส่วนเป็นเจ้าของพรรค แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ดังกล่าว
สำหรับการเลือกตั้งปี 2562 มีการปรับรูปแบบเป็นบัตรเลือกตั้งใบเดียว ใช้ระบบจัดสรรปันส่วนผสม โดยมีเจตนารมณ์ให้ทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ ส่งผลให้เกิด ส.ส.หน้าใหม่จากพรรคขนาดเล็กและพรรคขนาดจิ๋ว แม้จะมีข้อจำกัดด้านทุน โดยผลพลอยได้คือการเกิด ส.ส.จากคะแนนปัดเศษ
ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2566 ได้มีการแก้กฎหมายกลับไปใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ทำให้พรรคขนาดกลาง พรรคขนาดเล็ก และพรรคขนาดจิ๋วเสียเปรียบทุกด้าน และอาจถึงขั้นสูญพันธุ์ ขณะที่พรรคขนาดใหญ่ได้เปรียบอย่างชัดเจน จนเกิดโครงสร้างการเมืองแบบ “สามก๊ก” ได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย
สาเหตุสำคัญมาจากระบบเลือกตั้งแบบผสมและการใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ซึ่งวัดผลกันที่ ส.ส.เขต พรรคใดได้จำนวนมากที่สุดย่อมมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล ประกอบกับปัจจุบันสมาชิกวุฒิสภาไม่มีสิทธิร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติว่าพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งจะเป็นผู้กำหนดเกมจัดตั้งรัฐบาลโดยเด็ดขาด แต่เป็นเพียงมารยาททางการเมืองและประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมา โดยในอดีต ระบบเลือกตั้งและการออกแบบวุฒิสภาที่มีอำนาจโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคที่ชนะเลือกตั้งในปี 2562 และ 2566 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากไม่สามารถรวบรวมเสียงสองสภาให้ได้เกินกึ่งหนึ่ง
พูดภาษาชาวบ้านคือ ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ทำให้ผลการเลือกตั้งไม่มีพรรคการเมืองใดได้ ส.ส. ถึง 250 เสียงแบบเบ็ดเสร็จ หรือในภาษามวยเรียกว่า “ชนะไม่ขาด”
เหตุผลสำคัญคือรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2564) มาตรา 83 บัญญัติให้มี ส.ส. 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน โดย ส.ส.เขตเป็นตัวแบ่งตลาดการเมืองของแต่ละพรรค วัดกันที่ “กระแสและกระสุน” ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นการวัดคะแนนรวมทั้งประเทศ ใช้ “กระแส” เป็นหลัก
เมื่อทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ย่อมสามารถประเมินได้ว่าพรรคใดจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แม้พรรคอันดับสองหรืออันดับสามก็สามารถรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลแข่งขันกันได้ โดยใช้การจัดสรรตำแหน่งกระทรวงเป็นแรงจูงใจ
รัฐธรรมนูญ มาตรา 88 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ไม่เกิน 3 รายชื่อ โดยจะเสนอหรือไม่ก็ได้ และต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือ รวมถึงต้องยื่นรายชื่อก่อนวันปิดรับสมัคร ส.ส.
ปรากฏการณ์ที่พรรคการเมืองเปิดตัวทีม “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” ต่อสาธารณะ จึงถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย หากพิจารณาในแง่กฎหมายมหาชน ไม่มีกฎหมายมาตราใดบัญญัติให้พรรคการเมืองต้องเสนอรายชื่อดังกล่าว แต่ก็ไม่มีกฎหมายใดบัญญัติห้ามไว้โดยเด็ดขาด
การเปิดตัวทีมรองนายกรัฐมนตรีของบางพรรค เช่น พรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน เป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อเพิ่มแรงดึงดูดคะแนนเสียง และทำให้ประชาชนรับรู้ล่วงหน้าเพื่อประกอบการตัดสินใจในวันเลือกตั้ง โดยเป็นการนำโมเดลการเมืองท้องถิ่น เช่น ทีมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือทีมผู้บริหารท้องถิ่นพิเศษอย่างกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา มาปรับใช้ในระดับชาติ
อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 บัญญัติให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดเลือกคณะรัฐมนตรี รวมถึงรองนายกรัฐมนตรี เพื่อทูลเกล้าฯ แต่งตั้ง ภายหลังการเลือกนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 โดยไม่จำเป็นต้องเปิดตัวหรือแจ้งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งล่วงหน้า
พูดภาษาชาวบ้านคือ เป็นการปลุกกระแสและความนิยมทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง
ในทางกฎหมายมหาชน “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” ถือเป็นตำแหน่งรัฐมนตรี ต้องมีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 ประกอบมาตรา 98 แต่ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องยื่นบัญชีรายชื่อดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง การเมืองสามขั้วอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จึงเข้าสู่การแข่งขันเชิงกลยุทธ์เพื่อแย่งชิงที่นั่ง ส.ส. 500 คนให้ได้มากที่สุด
ในพื้นที่ชนบท ตัวชี้วัดสำคัญคือ “ขุมกำลังบ้านใหญ่” ที่ใช้ระบบหัวคะแนนและโครงสร้างการเมืองท้องถิ่น ขณะที่ในเขตเมืองและชุมชนเมือง เกมการเมืองวัดกันที่ “กระแสพรรค” เนื่องจากการซื้อเสียงทำได้ยากกว่า
แม้พรรคการเมืองบางพรรคจะได้เปรียบ แต่ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ยังคงควบคุมไม่ให้มีพรรคใดชนะขาดเพียงพรรคเดียว ดังเช่นในอดีต พรรคประชาธิปัตย์เคยกวาดที่นั่งในกรุงเทพฯ และภาคใต้ ขณะที่ปี 2566 พรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนชนะในกรุงเทพฯ และภาคตะวันออก แต่กระแสที่แรงก็อาจเกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น
ส่วนประเด็นการจัดทำประชามติ แม้จะมีข้อถกเถียงว่าการจัดออกเสียงประชามติพร้อมวันเลือกตั้งชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากระยะเวลาไม่ครบ 60 วัน แต่พระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มาตรา 10 บัญญัติให้สามารถจัดทำได้ไม่เร็วกว่า 60 วันและไม่ช้ากว่า 150 วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ เว้นแต่มีเหตุจำเป็นด้านงบประมาณหรือเหตุจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
พูดภาษาชาวบ้านคือ กฎหมายมีหลัก แต่ก็มีข้อยกเว้น ทำให้คณะรัฐมนตรีสามารถอาศัยข้อยกเว้นดังกล่าว จัดทำประชามติพร้อมวันเลือกตั้งเพื่อประหยัดงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ในเชิงเกมการเมือง แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะมีอุปสรรค แต่การจัดประชามติพร้อมการเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนต้องลงคะแนนใน “บัตรใบที่ 3” ซึ่งกลายเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แม้กฎหมายห้ามนำประชามติไปหาเสียงโดยตรง แต่การนำเสนอนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญยังสามารถทำได้ และไม่มีกฎหมายใดห้ามไว้


