เพื่อนเอกรวบอำนาจพรรคประชาชน วิกฤตศรัทธาภายในกับดักกฎหมายรุมเร้า
พรรคประชาชนเผชิญแรงสั่นสะเทือนจากความขัดแย้งภายใน การคัดผู้สมัครถูกวิจารณ์รวมศูนย์อำนาจ ขณะคดีจริยธรรมและมาตรา 112 บีบปรับยุทธศาสตร์การเมือง
KEY
POINTS
- พรรคประชาชนเผชิญวิกฤตศรัทธาภายใน จากข้อกล่าวหาว่ากลุ่ม “เพื่อนเอก” รวบอำนาจในการคัดเลือกผู้สมัคร สส. อย่างไม่โปร่งใส จนถูกมองว่าเป็น “พรรคมีเจ้าของ”
- พรรคถูกกดดันจากคดีความทางการเมืองและจริยธรรมหลายคดี ทำให้ต้องปรับยุทธศาสตร์การวางตัวผู้สมัคร ซึ่งยิ่งตอกย้ำภาพการรวมศูนย์อำนาจของแกนนำ
- พรรคยอมรับความผิดพลาดในอดีตและกำลังปรับทิศทางใหม่ โดยชูประเด็น “การต่อต้านการทุจริต” เป็นแกนหลักเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตศรัทธาทั้งภายในและภายนอก
รอยร้าวอำนาจภายใน เมื่อพรรคถูกตั้งคำถามว่า “มีเจ้าของ”
พรรคประชาชนกำลังเผชิญคลื่นความปั่นป่วนจากภายในอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การคัดเลือกผู้สมัครสส. ทั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ กลายเป็นจุดแตกหักสำคัญ เมื่อสส. เดิมจำนวนหนึ่งถูกตัดออกจากเส้นทางการเมือง ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ว่า กระบวนการพิจารณาขาดความโปร่งใสและไม่เปิดพื้นที่ให้ความเห็นอย่างเท่าเทียม
ข้อกล่าวหาที่รุนแรงที่สุด คือการมองว่าพรรคกำลังกลายเป็น “พรรคมีเจ้าของ” ที่อำนาจการตัดสินใจไม่ได้อยู่บนฐานเสียงส่วนรวม หากแต่อยู่ในมือของกลุ่มบุคคลไม่กี่คนซึ่งมีอำนาจเหนือมติคณะกรรมการบริหาร เสียงสะท้อนจากผู้สมัครที่ถูกตัดสิทธิ์ โดยเฉพาะกรณีร้องเรียนเรื่องความไม่เป็นธรรม ทำให้คำว่า “ระบบเผด็จการในพรรคการเมือง” ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างเปิดเผย
โครงสร้างการตัดสินใจที่ต้องผ่านหลายชั้น ตั้งแต่กลุ่มคัดกรอง ไปจนถึงคณะทำงานระดับสูง ถูกตั้งข้อสังเกตว่าท้ายที่สุดแล้ว กลับผูกโยงอยู่กับกลุ่มอำนาจแกนกลางซึ่งถูกเรียกว่า “เพื่อนเอก” ภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองที่ยืนบนอุดมการณ์ประชาธิปไตย จึงเริ่มถูกท้าทายจากคำถามพื้นฐานเรื่องการกระจายอำนาจภายในพรรคเอง
กับดักกฎหมายรุมเร้า ปรับทัพผู้สมัครอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขณะความขัดแย้งภายในยังไม่ทันคลี่คลาย พรรคประชาชนต้องเผชิญแรงกดดันจากภายนอกในมิติทางกฎหมายอย่างหนักหน่วง คดีการเมืองและกระบวนการตรวจสอบด้านจริยธรรม กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลต่อการวางตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งโดยตรง
กรณีการชี้มูลความผิดทางจริยธรรมร้ายแรงต่ออดีตสส. จำนวนมากจากการลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำลังเดินหน้าสู่การพิจารณาขององค์กรอิสระระดับสูง ขณะเดียวกัน คดีตามมาตรา 112 ที่เกี่ยวพันทั้งอดีตและปัจจุบันสส. รวมถึงกรรมการบริหารพรรค ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเชิงโครงสร้างต่อพรรคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การปรับยุทธศาสตร์ผู้สมัคร หลายคนที่มีภาระทางคดีหรือความเสี่ยงทางกฎหมาย ถูกโยกจากสนามเลือกตั้งแบบเขต ไปสู่บัญชีรายชื่อ เพื่อลดแรงกระแทกและรักษาความต่อเนื่องของพรรคในสนามการเมือง การตัดสินใจเช่นนี้ แม้เป็นเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ แต่ก็ยิ่งตอกย้ำภาพการรวมศูนย์อำนาจ และเพิ่มคำถามต่อความเป็นธรรมภายในพรรคมากขึ้น
บทเรียนราคาแพง กับการปรับเข็มทิศการเมืองใหม่
ท่ามกลางแรงกดดันทั้งภายในและภายนอก ผู้นำทางความคิดของขบวนการยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า พรรคได้เผชิญ “บทเรียนราคาแพง” จากเส้นทางการเมืองที่ผ่านมา ทั้งในแง่การประเมินสถานการณ์ผิดพลาด และความล้มเหลวของความพยายามทางการเมืองบางรูปแบบ
การยอมรับว่าพรรคเคยถูกหลอก และเคยวางกลยุทธ์ที่ไม่สอดคล้องกับความจริงทางอำนาจ สะท้อนการทบทวนบทบาทของตนเองอย่างมีนัยยะ พร้อมกับการส่งสัญญาณว่า เส้นทางการเมืองหลังจากนี้จะต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ถูกขับเน้นอย่างชัดเจน คือการยก “การต่อต้านการทุจริต” ขึ้นเป็นแกนกลางของการเมืองพรรค ความพยายามสร้างภาพลักษณ์ความโปร่งใส และการยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพื้นที่สีเทาทางการเมือง ถูกวางให้เป็นคำตอบต่อทั้งวิกฤตศรัทธาภายในและแรงเสียดทานจากภายนอก
ที่มา : เนชั่นอินไซต์ (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


