posttoday

ชายแดนไทย–กัมพูชาปะทะเดือด เกมอำนาจยืดเยื้อข้ามปีใหม่

15 ธันวาคม 2568

ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาปะทุรุนแรง ท่าทีแข็งกร้าวจากรัฐและกองทัพ สงครามยืดเยื้อข้ามปี กลายเป็นบททดสอบกำลังรบ การทูต และเสถียรภาพภูมิภาค

KEY

POINTS

  • ความขัดแย้งไทย–กัมพูชามีแนวโน้มยืดเยื้อ จากท่าทีแข็งกร้าวและการประเมินกำลังที่เหนือกว่า
  • ไทยใช้ยุทธวิธีโจมตีเป้าหมายสำคัญ ควบคู่การตัดท่อน้ำเลี้ยงทางเศรษฐกิจสีเทา
  • เกมการทูตในเวทีโลกเป็นปัจจัยชี้ขาด ควบคู่กับความเสี่ยงจากสงครามกองโจร

แนวโน้มศึกยืดเยื้อกับความมั่นใจเชิงกำลังของไทย

เสียงปะทะตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนภาพความขัดแย้งที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเหตุเฉพาะหน้า หากแต่กำลังเคลื่อนตัวสู่ภาวะ “ยืดเยื้อ” อย่างมีนัยสำคัญ การประเมินจากฝ่ายความมั่นคงชี้ตรงกันว่า ความขัดแย้งครั้งนี้มีแนวโน้มลากยาวข้ามปีใหม่ และยากจะจบลงในระยะสั้น

ฝ่ายไทยแสดงความเชื่อมั่นอย่างสูงต่อศักยภาพของกองทัพ โดยมองว่ากำลังรบในทุกมิติเหนือกว่ากัมพูชาอย่างชัดเจน ทั้งด้านยุทโธปกรณ์ ระบบบัญชาการ และขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วมเหล่าทัพ มีการประเมินในเชิงยุทธศาสตร์ว่า หากเป็นสงครามเต็มรูปแบบ กัมพูชาอาจไม่สามารถต้านทานได้ในระยะยาว

ท่าทีดังกล่าวสะท้อนออกมาผ่านความพร้อมของกองทัพบก ทัพอากาศ และทัพเรือ ที่ส่งสัญญาณชัดถึงความมุ่งมั่นในการใช้กำลังเท่าที่จำเป็น โดยไม่ปิดประตูต่อการรบยืดเยื้อ เป้าหมายสำคัญคือการทำลายขีดความสามารถทางทหารของฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่เพียงการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์

พื้นที่ปะทะหนักกับยุทธวิธีโจมตีเป้าหมายสำคัญ

สมรภูมิหลักของความขัดแย้งกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง ได้แก่ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี และบุรีรัมย์ ขณะเดียวกัน จังหวัดสระแก้วทางภาคตะวันออกก็กลายเป็นอีกจุดปะทะที่มีความตึงเครียดสูง สะท้อนแนวชายแดนที่ยาวและยากต่อการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จ

ยุทธวิธีของฝ่ายไทยมุ่งโจมตีเป้าหมายทางทหารที่มีนัยเชิงยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ทั้งศูนย์บัญชาการ ศูนย์ควบคุมอากาศยานไร้คนขับ คลังอาวุธ และคลังยุทโธปกรณ์ที่ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามโดยตรง การใช้อากาศยานและปืนใหญ่ถูกออกแบบให้เป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน ลดความเสี่ยงต่อพลเรือน

นอกจากนี้ การตัด “ท่อน้ำเลี้ยง” ของกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับคาสิโนและเครือข่ายสแกมเมอร์ ถูกมองว่าเป็นอีกมิติหนึ่งของการปฏิบัติการ ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สนามรบ แต่ขยายไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจสีเทาที่หล่อเลี้ยงกำลังของฝ่ายตรงข้าม
 

การทูตเชิงรุกกับเหตุผลเบื้องหลังการเปิดฉากของกัมพูชา

ในเชิงนโยบาย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันจุดยืนว่า ไทยไม่ใช่ฝ่ายเริ่มต้นความรุนแรง แต่มีความจำเป็นต้องป้องกันตนเองภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ เป้าหมายสูงสุดคือการคุ้มครองพลเรือนและรักษาอธิปไตยของรัฐ การใช้กองทัพจึงถูกวางเป็นทางเลือกสุดท้าย

ขณะเดียวกัน ไทยเดินเกมการทูตเชิงรุก โดยชี้แจงต่อสหประชาชาติผ่านผู้แทนถาวร เพื่อยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดอธิปไตย และการตอบโต้ของไทยอยู่ภายใต้หลักการป้องกันตนเอง การสื่อสารเชิงรุกนี้มีเป้าหมายลดแรงกดดันจากนานาชาติ และป้องกันไม่ให้ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเวทีโลก

ฝ่ายความมั่นคงยังประเมินเหตุผลที่กัมพูชาเลือกเปิดฉากโจมตี ทั้งการเบี่ยงเบนปัญหาภายใน การดึงประเด็นเข้าสู่ศาลโลก และการปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อค้ำจุนอำนาจทางการเมือง แม้ไทยจะเหนือกว่าในเชิงกำลัง แต่การซุ่มโจมตีแบบกองโจรยังคงเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้าม

เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง 
ที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์ (คลิ๊กชม)
 

ข่าวล่าสุด

ทรู คอร์ปอเรชั่น ดูแล 'พลังใจ' ประชาชนศูนย์พักพิงฯ ชายแดนไทย–กัมพูชา นอกเหนือจากสัญญาณ