ศึกแก้รัฐธรรมนูญวาระ 2–3 เกมอำนาจซ่อนเงื่อนไทยไปต่อหรือสะดุด
ศึกในรัฐสภา 10–11 ธันวาคม ไม่เพียงชี้ว่าร่างแก้รัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ แต่เผยโครงสร้างอำนาจที่ขวางการเปลี่ยนแปลง ทั้งเสียง ส.ว. ประชามติสามชั้น และเส้นเวลาการเมือง
KEY
POINTS
- วาระ 3 คือสนามจริง เพราะต้องการเสียง ส.ว. 1 ใน 3 ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ยากที่สุดและอาจทำให้ร่างตกได้ทันที
- ประชามติ 3 ครั้งคือด่านซ้อนด่าน เพิ่มทั้งเวลา ความไม่แน่นอน และดึงเกมการเมืองเข้าสู่ภาวะเสี่ยงยืดเยื้อ
- โครงสร้างอำนาจตั้งใจออกแบบให้เปลี่ยนยาก แม้เปิดช่องให้แก้รัฐธรรมนูญ แต่ทำให้สำเร็จได้จริงแทบเป็นไปไม่ได้
วาระ 2–3 จุดชี้ชะตาอนาคตการเมืองไทยทั้งระบบ
แม้การประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญในวันที่ 10–11 ธันวาคม 2568 จะเป็นเพียงการลงรายละเอียด “วาระที่ 2” ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เนื้อแท้แล้วคือการทดสอบพลังการเมืองทั้งระบบว่ามีศักยภาพจะขยับไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้จริงหรือไม่ การอภิปรายที่ไม่จำกัดเวลา ถูกมองเป็นเพียงฉากหน้า ส่วนฉากหลังคือความพยายามรักษาสมดุลระหว่างพรรคการเมือง ฝ่ายค้าน และ ส.ว. ที่ล้วนมีผลต่อทิศทางในวาระ 3 ที่สำคัญกว่า
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาเชื่อว่า วาระที่ 2 จะผ่านไปได้โดยไม่ติดขัดหนัก เพราะเป็นแค่ขั้นตอนยืนยันหลักการและคำแปรญัตติรายมาตรา แต่เมื่อเข้าสู่การลงมติชั้นสุดท้าย ความท้าทายจะเปลี่ยนจาก “เนื้อหา” ไปเป็น “โครงสร้างอำนาจ” ที่ออกแบบให้การแก้รัฐธรรมนูญไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย เหมือนระบบล็อกสามชั้นที่รัดกุมตั้งแต่ต้นน้ำ
ทุกฝ่ายต่างรู้ดีว่า วาระที่ 3 คือสนามจริง เพราะไม่ใช่แค่ต้องการเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาและเสียงฝ่ายค้าน 20% เท่านั้น แต่ยังต้องการเสียง ส.ว. ไม่น้อยกว่า 67 คน จุดที่ถูกมองเป็น “กำแพงเหล็ก” ที่มักทำให้ร่างตกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นสัญลักษณ์ว่าสถาปัตยกรรมอำนาจปัจจุบันยังไม่เปิดพื้นที่ให้การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเกิดขึ้นได้ง่าย
กับดักเวลาการเมืองและประชามติสามชั้นสุดท้าทาย
หลังผ่านวาระที่ 2 กระบวนการกำหนดให้ต้องเว้นอย่างน้อย 15 วัน ก่อนเข้าสู่วาระที่ 3 เพื่อป้องกันข้อครหาว่ารัฐสภาเร่งรัด ซึ่งหมายความว่าหน้าต่างเวลาวาระสุดท้ายจะเปิดได้เร็วสุดในช่วง 29 ธันวาคม หรือขยับไปเป็นสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม เส้นเวลานี้มีความหมายมากกว่าปฏิทิน เพราะผูกแน่นกับเกมยุบสภาและความต้องการควบคุมกระแสทางการเมืองของรัฐบาลและพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่จับตาผลสะเทือนต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ความเสี่ยงไม่ได้จบที่รัฐสภา เพราะคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ต้องผ่านประชามติถึงสามครั้ง กลายเป็นกลไก “คัดกรอง” ทางการเมืองที่มีพลังมหาศาล ขั้นตอนเริ่มตั้งแต่การถามว่าประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ ไปจนถึงการเห็นชอบร่างสุดท้าย มาตรการที่ถูกมองว่าเพิ่มภาระทั้งเวลา งบประมาณ และความไม่แน่นอนให้มากขึ้นจนกระทบความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลง
ที่สำคัญ หากรัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลรักษาการก่อนการทำประชามติ กระบวนการทั้งหมดจะถูก “แช่แข็ง” ชั่วคราวทันที เพราะไม่สามารถดำเนินการได้ตามกฎหมาย นั่นหมายถึงความเสี่ยงที่แรงผลักดันการปฏิรูประบบการเมืองจะหยุดลงกลางทาง และต้องเริ่มต้นใหม่โดยรัฐบาลหน้า กลายเป็นวงจรแห่งการเริ่มต้นซ้ำที่สังคมไทยคุ้นชินมาหลายทศวรรษ
บทสรุปเกมอำนาจ: อนุญาตให้แก้แต่ทำให้แก้ไม่ได้จริง
แม้หลายฝ่ายพยายามผลักดัน “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” หรือ สสร. ที่มาจากประชาชนเต็มรูปแบบ แต่ในชั้นกรรมาธิการ ร่างดังกล่าวถูกตีตกโดยอ้างว่าไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความไว้ ทำให้ต้องกลับไปใช้ระบบเลือกผู้ยกร่างแบบอ้อมที่อ่อนแรงกว่า และเสี่ยงต่อการผูกขาดเสียงในรัฐสภา โดยเฉพาะเมื่อ ส.ว. ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่คุมเกมในวาระสุดท้าย
ในภาพรวม กระบวนการแก้รัฐธรรมนูญรอบนี้ต้องผ่าน “สามด่านอันตราย” คือ การไม่ยุบสภาก่อนวาระ 3 การได้เสียง ส.ว. ไม่น้อยกว่า 67 คน และการไม่ถูกแช่แข็งหลังผ่านสภา ซึ่งแต่ละด่านมีความเสี่ยงสูงทั้งหมด เหมือนการเดินบนเชือกเส้นเดียวที่ต้องรักษาสมดุลทุกย่างก้าว หากพลาดแม้เพียงช่วงเดียว กระบวนการอาจล้มทั้งหมดในทันที
ทั้งหมดสะท้อนภาพใหญ่ที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเรียกว่า “สถาปัตยกรรมป้องกันการเปลี่ยนแปลง” โครงสร้างที่อนุญาตให้พูดเรื่องปฏิรูป อนุญาตให้ยื่นร่าง และอนุญาตให้อภิปราย แต่ในทางปฏิบัติกลับกางกำแพงหลายชั้นเพื่อทำให้ความพยายามเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างไม่สามารถบรรลุผลได้จริง ไม่ต่างจากการเปิดประตูไว้ แต่ขึงลวดหนามไว้รอบทางเดินทั้งหมด
ที่มา : เนชั่นสุดสัปดาห์ (คลิ๊กชม)
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


