คะแนนนิยมตกต่ำเขย่ารัฐบาลนายกฯอนุทิน เปิดทางยุบสภาทุกวินาที
ดัชนีความนิยมหลังน้ำท่วมหาดใหญ่ดิ่งแรง จุดกระแสยุบสภาโหมหนัก ขณะรัฐบาลเร่งโชว์ผลงาน แต่สัญญาณโยกย้ายข้าราชการและคำตอบ “อยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.” ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนการเมือง
KEY
POINTS
- คะแนนนิยมของรัฐบาลและนายกฯ อนุทินตกต่ำลงอย่างหนัก โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการจัดการปัญหาน้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่
- สัญญาณทางการเมืองหลายอย่าง เช่น การโยกย้ายข้าราชการครั้งใหญ่ และการประกาศเขตเลือกตั้งใหม่ ถูกมองว่าเป็นการเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้ง
- คำพูดที่ไม่ชัดเจนของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับกรอบเวลาของรัฐบาล ยิ่งตอกย้ำกระแสข่าวว่าการยุบสภาสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
คะแนนนิยมร่วงหลังน้ำท่วม–แรงสั่นสะเทือนแรกของข่าวยุบสภา
กระแสข่าวการยุบสภาในรัฐบาลไทยกลับมาร้อนแรงอีกครั้งท่ามกลางบรรยากาศความนิยมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งทางกายภาพและทางการเมืองอย่างรุนแรง
ปรากฏการณ์น้ำหลากที่ท่วมเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ได้กลายเป็น “บาดแผลสด” ที่ย้อนสะท้อนกลับมายังรัฐบาล ผลสำรวจหลังเหตุการณ์เพียงไม่กี่วันระบุว่าดัชนีการบริหารประเทศลดลงเหลือ 3.88 จากเต็ม 10 ขณะที่คะแนนประเมินผลงานนายกรัฐมนตรีตกไปอยู่อันดับท้าย ๆ ของรายการสำรวจมากกว่า 20 ข้อ เป็นสัญญาณเตือนว่าความเชื่อมั่นสาธารณะกำลังสั่นคลอนอย่างหนัก
ความเสียหายทางการเมืองนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลต้องการความนิ่งเป็นพิเศษ เนื่องจากกรอบเวลาตามบันทึกข้อตกลง (MOA) ระบุว่ารัฐบาลต้องบริหารประเทศให้ถึงวันที่ 31 มกราคมก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งตามกำหนด แต่เมื่อคะแนนนิยมตกต่ำอย่างกะทันหัน
กระแสข่าว “ยุบสภาหนีความเสื่อม” จึงถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ภายในพรรคร่วมรัฐบาลเองก็เริ่มมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงว่าหากปล่อยให้สภาพเช่นนี้ยืดเยื้อ อาจกระทบต่อทิศทางคะแนนในสนามเลือกตั้งรอบหน้าอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทย
แม้ฝ่ายรัฐบาลจะพยายามย้ำว่าภัยพิบัติไม่ควรกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง แต่การบริหารสถานการณ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักตั้งแต่ระบบเตือนภัย ความล่าช้าในการระดมกำลัง ไปจนถึงขั้นตอนเยียวยาที่ประชาชนจำนวนมากระบุว่ายุ่งยากและไม่ทั่วถึง ความรู้สึกผิดหวังสะสมจนกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนทางการเมือง ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับคะแนนสนับสนุนต่อรัฐบาลและตัวผู้นำเอง
เมื่อดัชนีความนิยมสาธารณะปรับลดลงอย่างรวดเร็ว การตีความว่าสถานการณ์อาจนำไปสู่การยุบสภา “เพื่อคุมเกม” จึงเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ
ปฏิบัติการข่าวดี–นโยบายเยียวยา ฟื้นความนิยม หรือกลบเสียงวิจารณ์
เพื่อตอบโต้กระแสข่าวลบ รัฐบาลเดินหน้า “ปฏิบัติการข่าวดี” อย่างเข้มข้น โดยนำเสนอผลงานชุดใหญ่ในช่วงเวลาที่ถูกจับตา หนึ่งในนั้นคือการปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ พร้อมการอายัดทรัพย์สินมูลค่านับหมื่นล้านบาท แกนนำรัฐบาลย้ำว่านี่ไม่ใช่การเมือง แต่เป็นภารกิจสำคัญที่ตั้งใจดำเนินการมานาน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อยมองว่าปฏิบัติการนี้ถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องราวกับมีจังหวะทางการเมืองรองรับ เพราะรัฐบาลประกาศล่วงหน้าว่าจะมี “ล็อตใหญ่” เปิดเผยต่ออีกภายในหนึ่งเดือน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สอดคล้องกับจังหวะคาดการณ์ยุบสภาอย่างน่าจับตา
คู่ขนานกับปฏิบัติการด้านความมั่นคง รัฐบาลยังเดินหน้าอัดแพ็กเกจเยียวยาเศรษฐกิจ เช่น การยืนยัน “คนละครึ่ง เฟส 2” เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 0% และการเร่งจ่ายเงินเยียวยาผู้ประสบภัยทุกวัน แนวทางนี้สะท้อนความพยายามพลิกความรู้สึกของประชาชนด้วยมาตรการที่จับต้องได้ในระยะสั้น
บางฝ่ายมองว่าเป็น “แจกเพื่อกู้ศรัทธา” ในภาวะรัฐบาลถูกจับตามองอย่างเข้มข้น แต่บางฝ่ายเห็นว่าเป็นกลไกจำเป็นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วม ทว่าในเชิงการเมือง ผลกระทบของมาตรการเหล่านี้ยังไม่สามารถเสริมแรงในภาพรวมได้มากนักเมื่อเทียบกับแรงกดดันจากวิกฤตน้ำท่วม
แม้รัฐบาลจะอัดผลงานอย่างต่อเนื่อง แต่สัญญาณทางการเมืองกลับสวนทางด้วยความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น การโยกย้ายข้าราชการระดับสูงในกระทรวงมหาดไทยจำนวนมากถูกจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะการเคลื่อนตัวในจังหวัดที่ถูกมองว่าเป็น “จังหวัดเป้าหมายสีน้ำเงิน” ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคภูมิใจไทย การปรับย้ายที่ยังไม่สิ้นสุดทำให้เกิดการตีความว่าเป็นการจัดทัพเลือกตั้งล่วงหน้า
ขณะเดียวกัน การประกาศเขตเลือกตั้งใหม่ครบ 400 เขตที่เกิดขึ้นในจังหวะเดียวกัน ก็ยิ่งเติมความเชื่อว่าบรรยากาศทางการเมืองกำลังเดินหน้าเข้าสู่โหมดเลือกตั้งโดยปริยาย
คำตอบสองนัยของนายกฯ–เกม MOA และความเป็นไปได้ของการยุบสภา
แม้แกนนำรัฐบาลหลายฝ่ายจะออกมาย้ำว่าการยุบสภาจะไม่เกิดขึ้นหากฝ่ายค้านไม่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่คำยืนยันดังกล่าวกลับไม่ได้ปิดช่องว่างความคลุมเครือทางการเมือง เนื่องจากคำตอบของนายกรัฐมนตรีอนุทินเองต่างหากที่กลายเป็นจุดหักเห
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าหากไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลจะอยู่ครบถึงวันที่ 31 มกราคมหรือไม่ นายกรัฐมนตรีตอบว่า “อยู่ไม่เกิน 31 มกราคม ก็แล้วกัน” ประโยคสั้น ๆ นี้เปิดประตูให้การตีความใหม่ทั้งหมด เพราะมันหมายความว่า รัฐบาลอาจตัดสินใจยุบสภาก่อนถึงเส้นตาย MOA ได้ทุกเมื่อ
การตอบเชิงเปรียบเปรย “คาดเข็มขัดนิรภัย” ของนายกรัฐมนตรีเมื่อถูกถามเรื่องอุบัติเหตุทางการเมืองในเดือนธันวาคม ยิ่งทำให้ผู้สังเกตการณ์มองว่าสถานการณ์ยังเปิดกว้างต่อการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน คำพูดนี้แบ่งการตีความออกเป็นสองขั้ว
ขั้วหนึ่งเชื่อว่าคือการเตือนให้ประชาชนเตรียมพร้อมต่อเหตุการณ์ไม่คาดหมาย ส่วนอีกขั้วมองว่านี่อาจเป็นสัญญาณว่าอุบัติเหตุทางการเมือง “ใกล้จะเกิดขึ้นจริง” เพียงแต่รัฐบาลต้องการให้ทุกฝ่ายรับผลกระทบให้น้อยที่สุด การกำกวมดังกล่าวจึงตอกย้ำว่าเกมการเมืองกำลังเดินสู่จุดเปลี่ยนที่คาดเดาได้ยาก
เมื่อประกอบปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกัน ตั้งแต่คะแนนนิยมที่ร่วงลงอย่างหนัก ปฏิบัติการข่าวดีที่ถี่ผิดปกติ การโยกย้ายข้าราชการชุดใหญ่ การประกาศเขตเลือกตั้งใหม่ และคำพูดสองนัยของผู้นำ การยุบสภาจึงกลายเป็นความเป็นไปได้ทางการเมืองที่ “เปิดได้ตลอดเวลา”
ท่ามกลางแรงกดดันที่โอบล้อมรัฐบาลจากทุกด้าน คำถามจึงไม่ใช่ว่า “จะยุบหรือไม่ยุบ” แต่กำลังเปลี่ยนเป็น “เมื่อใดคือจังหวะที่ดีที่สุดทางการเมือง” ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินเสถียรภาพ ความพร้อมของพรรคร่วม และความเสี่ยงจากกระแสสังคมที่ยังร้อนระอุหลังวิกฤตน้ำท่วม
คะแนนนิยมรัฐบาลที่ลดลงหลังน้ำท่วมหาดใหญ่ได้เปิดประตูให้กระแสยุบสภากลับมารุนแรงอีกครั้ง แม้รัฐบาลจะเร่งโชว์ผลงานและอัดนโยบายเยียวยา แต่สัญญาณโยกย้ายข้าราชการ การประกาศเขตเลือกตั้ง และคำพูดกำกวมของนายกฯ ล้วนทำให้สถานการณ์การเมืองเดินสู่ภาวะไม่แน่นอนสูงสุด โดยการยุบสภาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาในทางปฏิบัติ
เรียบเรียง:อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง


