อนุทินส่งสัญญาณยุบสภาธันวา เกมชิงความได้เปรียบของภูมิใจไทย
นายกฯอนุทินส่งสัญญาณยุบสภาเดือนธันวาคม 2568 ชิงปิดเวทีซักฟอก รับมือเสียงไม่มั่นคง ผูกจังหวะคดี 44 สส.พรรคประชาชนสร้างสมการเลือกตั้งที่รัฐบาลคุมเกมได้
KEY
POINTS
- อนุทินชูอำนาจยุบสภาเป็น “ไพ่ต่อรอง” ปิดช่องซักฟอกแบบลงมติ กดดันฝ่ายค้านต้องเลือกเครื่องมือให้รอบคอบ
- พรรคภูมิใจไทยเร่งจัดทัพทั้งแคนดิเดตนายกฯ เครือข่ายบ้านใหญ่ และฐานเสียงภาคใต้ เพื่อรองรับการเลือกตั้งก่อนครบเทอม
- คดี 44 สส. จากข้อเสนอแก้ ม.112 ถูกผูกเข้ากับจังหวะยุบสภา กลายเป็นตัวแปรที่อาจลดทอนศักยภาพพรรคประชาชนในสนามเลือกตั้งรอบใหม่
สัญญาณ “ยุบสภา” ธันวา กับเส้นแบ่งอำนาจนายกฯ–ฝ่ายค้าน
แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อปรากฏสัญญาณว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล อาจตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรในเดือนธันวาคม 2568 ก่อนครบวาระสภาที่คาดหมายเดิมราวเดือนมกราคม 2569
"ผมก็บอกแล้วว่าวันที่ 31 ม.ค.69 ยุบสภาแต่ท่านรอถึงวันที่ 31 ม.ค.69 ไม่ไหวก็ไม่มีปัญหา จะให้ยุบสภาวันที่ 12 ธ.ค.68 วันเปิดสภา ผมก็พร้อมยุบ แต่จะมีอะไรที่มันทำแล้วไม่เสร็จหลายอย่างท่านก็ต้องไปเบลม(โทษคนนั้น) จะมาโทษผมไม่ได้ เพราะผมไม่ยอม ถ้าบอกว่าให้อภิปรายแล้วให้โหวต ต่อให้อภิปรายห่วยขนาดไหนก็แพ้ และต่อให้อภิปรายดีขนาดไหน หรือตอบโต้ชี้แจงดีขนาดไหนก็แพ้.."
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี
20 พ.ย.68
การเร่งจังหวะทางการเมืองให้สั้นลงเช่นนี้ ไม่ได้เกิดในสุญญากาศ แต่สอดรับกับสถานการณ์ที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และรัฐบาลกำลังเผชิญความเปราะบางของเสียงในสภา ภายใต้เงื่อนไขที่พรรคร่วมบางส่วนยังไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
หัวใจของเกมการเมืองรอบนี้อยู่ที่ “อำนาจยุบสภา” ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติให้เป็นอำนาจฝ่ายนายกรัฐมนตรีในการทูลเกล้าฯ ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกายุบสภา
นายกฯอนุทินประกาศจุดยืนต่อสาธารณะอย่างชัดเจนว่า การใช้หรือไม่ใช้กลไกนี้เป็นดุลพินิจของตน “เพียงคนเดียว” โดยไม่จำเป็นต้องหารือกับผู้ใด ท่าทีดังกล่าวยิ่งขับเน้นให้การเมืองเดินหน้าเข้าสู่ภาวะ “สงครามจังหวะเวลา” ระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายค้าน ที่ต่างคำนวณว่าก้าวใดจะนำไปสู่การยุบสภาทันที
ขณะเดียวกัน ความคลุมเครือสำคัญยังอยู่ที่การตีความข้อจำกัดของอำนาจยุบสภา เมื่อฝ่ายค้านหนึ่งในห้าใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร แสดงความเห็นว่า นับแต่เวลาที่ฝ่ายค้านยื่นญัตติ อำนาจนายกรัฐมนตรีในการยุบสภาควรถูก “แช่แข็ง” เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
ขณะที่ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล นำโดยศาสตราจารย์ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เห็นว่าอำนาจดังกล่าวจะถูกระงับก็ต่อเมื่อประธานสภาตรวจสอบความครบถ้วนแล้ว “บรรจุญัตติ” เข้าสู่วาระประชุมเท่านั้น
ความแตกต่างในการตีความนี้ ทำให้ทุกก้าวเดินของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะการเลือกใช้เวทีอภิปรายแบบใด กลายเป็นความเสี่ยงทางยุทธศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฝ่ายค้านถูกบีบทางเลือก ภูมิใจไทยเร่งจัดทัพเลือกตั้งก่อนเทอม
ท่ามกลางข้อถกเถียงทางกฎหมาย ฝ่ายค้านต้องเผชิญทางเลือกที่ยากระหว่างการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ซึ่งมีผลลงมติ และการใช้มาตรา 152 เป็นการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติ สัญญาณชัดจากนายกฯอนุทินคือ หากฝ่ายค้านเลือกใช้มาตรา 151 รัฐบาลพร้อม “ชิงยุบสภาทันที” ก่อนเข้าสู่การลงมติในสภา
แต่หากเป็นการอภิปรายตามมาตรา 152 รัฐบาลอาจเปิดเวทีให้อภิปรายต่อไปได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ตนคุมจังหวะการเมืองเป็นหลัก การประกาศเงื่อนไขเช่นนี้ทำให้เครื่องมือฝ่ายตรวจสอบถูกผูกเข้ากับความเสี่ยงว่าจะถูกตอบโต้ด้วยการยุบสภาเมื่อใดก็ได้
เบื้องหลังความมั่นใจของนายกฯ ในการขู่ยุบสภาอยู่ที่การประเมิน “ความเปราะบางของเสียง” ในการลงมติ หากปล่อยให้เกิดศึกซักฟอกแบบลงมติ เสียงสนับสนุนรัฐบาลอาจไม่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะเมื่อพรรคร่วมบางส่วนต้องเผชิญแรงกดดันจากฐานเสียงตนเอง การจะพึ่งพาเสียงจากพรรคประชาชนที่เป็นคู่แข่งโดยตรงในสนามเลือกตั้ง ยิ่งเพิ่มต้นทุนและความเสี่ยงทางการเมือง ทางเลือก “ยุบสภา” จึงไม่ใช่เพียงการหนีศึกซักฟอก แต่เป็นการตัดความเสี่ยงที่รัฐบาลต้องอยู่ในสภาพ “ตัวประกันเสียงโหวต” ของฝ่ายการเมืองอื่น
อีกด้านหนึ่ง ความพร้อมของพรรคภูมิใจไทยต่อการเลือกตั้งก่อนครบเทอมถูกแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมผ่านสามมิติหลัก คือ
(1) การประกาศรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 3 คน ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ สะท้อนความพยายามสร้างภาพพรรค “พร้อมเป็นแกนนำรัฐบาล”
(2) การดึงเครือข่ายการเมืองและกลุ่มบ้านใหญ่จากหลายพื้นที่ เช่น กลุ่มมะขามหวาน กลุ่มการเมืองในโคราช สงขลา สุพรรณบุรี และกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นสำคัญ ทำให้เป้าหมายเพิ่มจำนวน ส.ส. จากราว 70 คนไปแตะระดับกว่า 100 คนมีน้ำหนักมากขึ้น
และ (3) การขยายฐานภาคใต้ภายใต้การนำของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่ต่อยอดจากพื้นที่เดิมไปยังสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี และเพชรบุรี ทั้งหมดสะท้อนว่าพรรคเตรียมรับมือการเลือกตั้งที่อาจมาถึง “เร็วกว่ากำหนด” อย่างเป็นระบบ
ยุทธศาสตร์ “ธันวาคม” กับตัวแปรคดี 44 สส.พรรคประชาชน
หากมองลึกลงไป การยุบสภาในเดือนธันวาคม 2568 ไม่ได้เป็นเพียงการปิดเวทีซักฟอกรัฐบาล แต่ถูกออกแบบให้ผูกโยงกับปัจจัยทางการเมืองและกฎหมายหลายชั้น เห็นได้จากอย่างน้อย 5 เหตุผลเชิงยุทธศาสตร์ ได้แก่ การลดความเสี่ยงจากบาดแผลใหม่ในศึกซักฟอก
การป้องกันความปั่นป่วนจากเสียงโหวตที่ไม่เป็นเอกภาพในพรรคร่วม การจู่โจมในช่วงที่คู่แข่งสำคัญยังไม่เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ อย่างชัดเจน การจัดวางโยกย้ายข้าราชการ
โดยเฉพาะโผแต่งตั้งตำรวจระดับผู้กำกับและผู้บังคับบัญชาช่วงปลายปี ให้เรียบร้อยก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้ง และการผูกจังหวะเวลาระหว่างยุบสภากับคดีสำคัญของคู่แข่งทางการเมือง
ในบรรดาปัจจัยทั้งหมด “คดี 44 สส.(พรรคก้าวไกล)” กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในมิติยุทธศาสตร์ เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อยู่ระหว่างพิจารณาคดีกรณีเข้าชื่อเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยมีแนวโน้มจะชี้มูลและส่งเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาในช่วงเวลาใกล้เคียงกันกับหน้าต่างยุบสภาเดือนธันวาคม
หากศาลฎีการับฟ้อง ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที ส่งผลโดยตรงต่อขีดความสามารถในการทำงานการเมืองและหาเสียงของพรรคประชาชน ซึ่งเป็นฐานหลักเดิมของ สส. กลุ่มนี้
ในภาพใหญ่ การยุบสภาที่ผูกเข้ากับคดี 44 สส. ทำให้สนามเลือกตั้งรอบใหม่มี “สมการเริ่มต้น” ที่เปลี่ยนไป พรรคภูมิใจไทยซึ่งเตรียมทัพไว้ล่วงหน้าจะลงสนามในฐานะพรรคที่ยังคงมีโครงสร้าง สส.ครบถ้วนและแคนดิเดตนายกฯ พร้อมต่อสู้
ขณะที่พรรคประชาชนอาจต้องเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากการขาดแกนนำพื้นที่ และต้องปรับยุทธศาสตร์รับมือกับข้อจำกัดทางกฎหมายไปพร้อมกับการหาเสียง
การเมืองไทยจึงกำลังเดินเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่จังหวะยุบสภา มิได้เป็นเพียงการกำหนดวันเลือกตั้ง แต่เป็นการกำหนด “เงื่อนไขตั้งต้น” ของดุลอำนาจใหม่ทั้งระบบ
เกมยุบสภาเดือนธันวาคมจึงเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุกที่ผูกโยงอำนาจนายกฯ การจัดทัพพรรคภูมิใจไทย และคดี 44 สส.พรรคประชาชน เข้าด้วยกัน เพื่อออกแบบสมการเลือกตั้งใหม่และกำหนดดุลอำนาจการเมืองไทยรอบหน้าให้เด่นชัด
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : เนชั่นอินไซต์ (คลิ๊กชม)


