posttoday

หนูเหนือเมฆสู่ดั้นเมฆ: ยุทธศาสตร์สองขั้วของนายกฯอนุทิน

15 ตุลาคม 2568

รัฐบาลอนุทินเปิดเกมบริหารด้วยภาพความอ่อนน้อม แต่เผยให้เห็นยุทธศาสตร์ซ้อนชั้น ระหว่างความช้าเชิงนโยบายกับความเร็วการรวบอำนาจรัฐ บททดสอบความสมดุลผู้นำยุคใหม่

KEY

POINTS

  • สรุปยุทธศาสตร์สองขั้วของนายกฯ อนุทิน ที่เปลี่ยนจากความรวดเร็วเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาล (หนูเหนือเมฆ) ไปสู่ความลังเลและคลุมเครือในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ (ดั้นเมฆ)
  • ชี้ให้เห็นความย้อนแย้งในการบริหารที่เน้นความรวดเร็วในการจัดสรรอำนาจและตำแหน่งสำคัญในกลไกรัฐ แต่กลับล่าช้าในการนำเสนอนโยบายใหม่ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
  • ระบุว่าความเชื่อมั่นของประชาชนลดลงเนื่องจากรัฐบาลขาดแผนงานที่วัดผลได้ และทางออกคือต้องเปลี่ยนจากการเน้นจัดสรรอำนาจมาเป็นการประกาศแผนนโยบายพร้อมเป้าหมายและกรอบเวลาที่ชัดเจน

จาก “เหนือเมฆ” สู่ “ดั้นเมฆ”: สัญญาณสะดุดของยุทธศาสตร์รัฐ

การก้าวขึ้นสู่ทำเนียบรัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เริ่มต้นด้วยคลื่นนิยมสูง ภาพจำ “หนูเหนือเมฆ” คือสูตรชนะทางการเมือง: พลิกเกมจัดตั้งรัฐบาล–เชื่อมเครือข่าย–ปิดดีลรวดเร็ว ทว่าหลังเสียงเชียร์เบาบางลง สิ่งที่ปรากฏในโค้งแรกคือความย้อนแย้งระหว่าง “ความเด็ดขาดในการจัดวางอำนาจรัฐ” กับ “ความลังเลในการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะ” จนเกิดภาพ “ดั้นเมฆ”—การขยับแบบไม่เปิดหน้าเต็มที่ รักษาพื้นที่คลุมเครือทางยุทธศาสตร์ไว้ก่อน แล้วจึงชั่งน้ำหนักเสียงสะท้อนสังคม

คำถามใหญ่ที่ตามมาคือ รัฐบาลต้องการเวลาเพื่อตรวจสอบความเสี่ยง หรือกำลังแสดง “ยุทธศาสตร์จริง” ที่ให้ความสำคัญกับการยึดกุมกลไกนำ (คน–งบ–ตำแหน่ง) ก่อนลงมือผลักดันนโยบาย? การสลับจังหวะเช่นนี้ทำให้ความคาดหวังจากช่วงฮันนีมูนเหลือเพียงการ “รอดู” และเมื่อสังคม “รอดู” ไปนาน ๆ โดยขาดผลลัพธ์จับต้องได้ แรงส่งทางการเมืองย่อมถดถอย

ในเชิงภาพรวม โครงสร้างการสื่อสารของรัฐบาลยังพึ่งพา “สัญญะความเข้มแข็ง” มากกว่าการเปิดแผนงานเป็นแผนปฏิบัติการพร้อมตัวชี้วัด (KPIs) และเส้นเวลา (Timeline) ที่ตรวจสอบได้ ขณะเดียวกัน โครงสร้างราชการยุทธศาสตร์—โดยเฉพาะสายมหาดไทย—ถูกจัดวางอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้ “ความเชื่อมั่นในความสามารถเชิงบริหาร” เริ่มถูกผูกโยงกับ “ความโปร่งใสในการใช้อำนาจ” มากกว่าความคมชัดของนโยบาย

เศรษฐกิจ: เรือธงสานต่อ vs วิสัยทัศน์เชิงรุก

ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลเลือก “สานต่อ–เร่งย้ำ” มาตรการที่สังคมคุ้นเคย: รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, คนละครึ่งเวอร์ชันปรับจูน, และผลิตภัณฑ์การออมแบบรัฐนำบางรูปแบบ การต่อยอดสิ่งที่ดีไม่ใช่เรื่องผิด แต่เมื่อภาพรวมยังไม่เห็น “แพลตฟอร์มนโยบายใหม่” ที่ยกเครื่องโครงสร้างการเติบโต—ยกระดับผลิตภาพ (productivity), ดึงดูดการลงทุนคุณภาพ (quality FDI), ปรับทักษะแรงงานตามเทคโนโลยี—จึงเกิดคำถามว่ารัฐบาล “กำลังบริหารโมเมนตัม” มากกว่า “สร้างโมเมนตัมใหม่” หรือไม่

เศรษฐกิจไทยเผชิญโจทย์ซ้อน: อุปสงค์ภายในอ่อนแรงยืดเยื้อ, การส่งออกถูกบีบจากการแข่งขันเชิงราคาและกฎระเบียบสีเขียว, เอสเอ็มอีขาดทั้งทุนและเทคโนโลยี ความคาดหวังคือ “พิมพ์เขียวยกแผง” ที่เชื่อมโยงนโยบายการคลัง–ภาษี–แรงงาน–อุตสาหกรรม–กฎระเบียบ เพื่อปลดล็อกคอขวดพร้อมกัน แต่สิ่งที่สังคมสัมผัสได้ในตอนนี้คือสารพัด quick win ที่ดีต่อใจ ทว่าไม่ยกศักยภาพใหม่ให้เศรษฐกิจไทยอย่างเป็นระบบ

สัญญาณเชิงบวกพอมี—เช่น การขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานและความพยายามคุมค่าครองชีพ—แต่ยังต้องการ “ภาษานโยบาย” ที่ชัดกว่า: จะยกระดับอุตสาหกรรมเป้าหมายใด, จะอัพสกิลแรงงานอย่างไร, จะผสาน FDI กับห่วงโซ่คุณค่าในประเทศแบบไหน, และที่สำคัญ—จะวัดผลเมื่อใด หากรัฐบาลเปิดแผนงานเชิงระบบด้วยเส้นเวลาและเป้าหมายวัดผล สังคมพร้อมรอและให้คะแนนเพิ่ม แต่ถ้ายังวนที่มาตรการสั้น–จบ–รีเซ็ต ความเชื่อมั่นจะเสี่ยง “ชะงัก” ตามวัฏจักรเดิม

ความมั่นคง: ขาด Exit Strategy–เติมเครื่องมืออำนาจ

ชายแดนไทย–กัมพูชาที่บ้านหนองจาน–หนองหญ้าแก้ว คือสนามทดสอบภาวะผู้นำช่วงต้น ท่าทีแรกแข็งแรงและได้รับแรงหนุนสังคม แต่เมื่อเวลายืดออกไป ความชัดเจนด้านแผนปฏิบัติและ “ทางออก” ไม่ปรากฏชัด การขยับเชิงสัญญะมากกว่าปฏิบัติการที่คืบหน้า ทำให้แรงสนับสนุนเริ่มปะปนความกังวล: จะรักษาอธิปไตยอย่างไรโดยไม่พาเข้าสู่ “เกมยืดเยื้อ” ที่รบกวนเศรษฐกิจชายแดน–ความสัมพันธ์ทวิภาคี–ภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของรัฐไทย

ขณะเดียวกัน “ไฟใต้” ถูกขับเคลื่อนด้วยการตั้งคณะพูดคุยฯ ชุดใหม่ และเพิ่มชั้นกลไก “ผู้แทนพิเศษรัฐบาล” ทั้งที่ธรรมชาติสันติภาพต้องการความต่อเนื่องและความไว้วางใจยาว การจัดทัพใหม่ในรัฐบาลอายุสั้นย่อมเสี่ยงผลลัพธ์แบบ “เริ่ม–หยุด–เปลี่ยนทีม” มากกว่าความคืบหน้าจริง หากไม่กำหนดเป้าหมาย–ตัวชี้วัด–เส้นเวลา–เครื่องมือคุ้มครองประชาชน–มาตรการลดเหตุรุนแรงรายเดือนและสะสมรายไตรมาส กลไกที่เพิ่มขึ้นอาจกลายเป็น “ค่าธรรมเนียมทางพิธีกรรม” มากกว่ากลไกสร้างสันติสุข

สิ่งที่ฉายชัดจึงเป็น “อสมการของเวลา”: นโยบายสาธารณะสำคัญเดินช้า แต่การจัดเรียงอำนาจรัฐ—โยกย้ายแต่งตั้งตำแหน่งยุทธศาสตร์—เดินไว ภายใต้กรอบคำอธิบายว่า “คืนความเป็นธรรม” หรือ “ปรับความสมดุลระบบราชการ” สังคมย่อมถามหาหลักฐานผลลัพธ์บริการประชาชนที่ดีขึ้นอย่างวัดได้ ไม่ใช่เพียงเสถียรภาพของกลไกรัฐภายใน

MOU–ประชามติ: การถ่ายโอนภาระหรือสร้างฉันทามติ

แนวทาง “ประชามติเรื่อง MOU” ถูกวิพากษ์ว่าเป็นการผลักภาระเชิงเทคนิคให้สาธารณะ ในเมื่อรัฐธรรมนูญเปิดช่องทางดำเนินนโยบายระหว่างประเทศผ่านฝ่ายบริหารและกลไกกำกับของรัฐสภา ฝ่ายรัฐบาลต้องตอบให้ได้ว่า “ประชามติ” ถูกออกแบบเพื่อสร้างฉันทามติบนฐานข้อมูลที่เพียงพอจริงหรือเป็นเพียง “กันชนการเมือง” เพื่อหลบความรับผิดชอบ

หากจะทำประชามติจริง ต้องประกาศกรอบข้อมูล (assumptions) ชุดทางเลือก (policy options) และผลกระทบ (impact assessment) ล่วงหน้า พร้อมบทวิเคราะห์เชิงกฎหมาย–ความมั่นคง–เศรษฐกิจภายใน–การทูต และระบุว่า “หากผลประชามติเป็น A/B” ฝ่ายบริหารจะทำอะไรต่ออย่างไรบ้างใน 30–60–90 วัน ความโปร่งใสเช่นนี้จึงจะเปลี่ยน “การโอนไฟล์ภาระ” ให้เป็น “การเปิดพื้นที่ตัดสินใจร่วม”

ตรงกันข้าม หากประชามติเกิดขึ้นโดยไร้ชุดข้อมูล–ไม่มีทางเลือกที่ชัด–ไม่มีแผนรองรับหลังการตัดสินใจ ผลลัพธ์จะเป็นความแตกแยก–ต้นทุนสังคมสูง และฝ่ายบริหารก็ยังไม่หลุดพ้นจาก “คำถามความรับผิดชอบ” อยู่ดี

เกมอำนาจ: พรรคการเมือง–ฐานท้องถิ่น–ข้าราชการ

พิมพ์เขียวการเติบโตของพรรคภูมิใจไทยอาศัย “แรงดึงดูดอำนาจ” มากกว่า “อุดมการณ์ร่วม” การขยายตัวแบบผนวกเครือข่ายท้องถิ่น–หัวคะแนน–กลุ่มอิทธิพลชุมชน สร้างความรวดเร็วในการปักธงการเมือง แต่ทำให้เอกภาพเชิงนโยบายเปราะบาง โดยเฉพาะเมื่อประเทศต้องการ “แพ็กนโยบายยุคถัดไป” ที่ต้องการวินัยการตัดสินใจและความกล้าเผชิญแรงเสียดทาน

ด้านราชการ ภาพ “จัดทัพไว” ปรากฏชัดจากการวางตัวบุคคลในตำแหน่งยุทธศาสตร์ โดยเฉพาะสายในกำกับมหาดไทย การยกตัวอย่างการคืนตำแหน่ง–เลื่อนตำแหน่ง–ย้ายเก้าอี้ที่เชื่อมกับฐานการเมืองท้องถิ่น ทำให้เกิดแรงตั้งคำถามว่า นี่คือการ “ซ่อมสมดุล” หรือ “ช่วงชิงศูนย์ควบคุม” หากการจัดทัพไม่แสดงผลลัพธ์บริการประชาชนที่ดีขึ้น (เช่น เวลายื่นเอกสารที่สั้นลง บริการทะเบียน–ที่ดิน–ท้องถิ่นที่โปร่งใสขึ้น) ความชอบธรรมจะสึกกร่อน

เกมอำนาจไม่ใช่เรื่องผิดในทางการเมือง ตราบใดที่มันถูกใช้เป็น “เครื่องมือ” เพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์นโยบายสาธารณะ ไม่ใช่ “เป้าหมาย” ในตัวมันเอง ปัญหาคือเมื่อสังคมเห็น “เครื่องมือ” ทำงานไว แต่นโยบายยังไม่ก้าว จึงเกิดภาพ “ดั้นเมฆ”—ขยับในหมอก ปรากฏให้เห็นเพียงเงา ไม่ใช่ทิศทาง

Roadmap ฟื้นศรัทธา: จากคลุมเครือสู่ผลลัพธ์

ทางออกของรัฐบาลอยู่ที่ “เปลี่ยนภาษาอำนาจเป็นภาษานโยบาย” ประกาศแพ็กเกจเศรษฐกิจ 12–18 เดือน ที่ชี้ชัดอุตสาหกรรมเป้าหมาย, เป้าหมายลงทุน, โปรแกรมอัพสกิล, สิทธิประโยชน์ภาษี–กฎระเบียบ และ KPI รายไตรมาส เช่น การลงทุนใหม่, มูลค่าการส่งออกในหมวดเป้าหมาย, รายได้ครัวเรือนเฉลี่ย, อัตราการยกระดับทักษะแรงงาน

ด้านความมั่นคง ต้องวาง exit strategy ที่วัดผลได้: เส้นเวลาการลดเหตุรุนแรง, แผนคุ้มครองพลเรือน, กลไกตรวจสอบการละเมิดสิทธิ, ตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของชุมชน และช่องทางสื่อสารสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ สำหรับชายแดนไทย–กัมพูชา ต้องระบุขั้นตอนปฏิบัติการ ร่วม–เดี่ยว–การทูต พร้อมวงรอบประเมินผลทุก 30 วัน

สุดท้ายคือธรรมาภิบาลการโยกย้าย: เผยเกณฑ์แต่งตั้ง–ย้าย–ประเมินผลตำแหน่งสำคัญ, เปิดข้อมูลผลงานก่อน–หลังโยกย้าย และผูกงบกับผลลัพธ์บริการประชาชน เมื่อประชาชน “เห็นผล” แรงเสียดทานจะลดลงเอง และภาพ “ดั้นเมฆ” จะค่อย ๆ จางให้เห็นท้องฟ้า

หากยังยึดเป้าหมายจัดวางอำนาจเหนือการสร้างนโยบายใหม่ ความนิยมที่ได้จากกระแสจะเปราะบาง รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศแผนเศรษฐกิจ–ความมั่นคงให้ชัดเจน มีตัวชี้วัดและไทม์ไลน์ที่ตรวจสอบได้ และกลไกรับผิดชอบ

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 8 ธ.ค. 68