คลังหลวง อยู่ที่ไหน
....สมผล ตระกูลรุ่ง
คําว่า
“คลังหลวง” เป็นคำที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พระอริยสงฆ์ในยุคกึ่งพุทธกาลใช้เรียกขานกองทรัพย์สินของประเทศไทยเราที่เก็บสะสมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษเป็นคำเรียกขานที่ท่านใช้มาตั้งแต่ปี 2541 อันเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการช่วยชาติจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540 ทำให้รัฐบาลต่อมาที่คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี มีคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ เป็น รมว.คลัง ต้องกู้หนี้ยืมสินกองทุนไอเอ็มเอฟมาเป็นจำนวนมาก และอาจเรียกได้ว่าสูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจให้กับฝรั่ง
หลวงตามหาบัว ซึ่งขณะนั้นท่านมีอายุ 85 ปี ทนเห็นประเทศต้องล่มสลายไปต่อหน้าไม่ได้ ท่านพิจารณาเห็นว่า ในความมืดยังมีจุดสว่างเล็กๆ ที่เป็นความหวังของประเทศได้ ท่านได้ออกมาตั้งโครงการรับผ้าป่าช่วยชาติ รับเงินตราต่างประเทศ รับทองคำ เพื่อเป็นทุนของประเทศ โดยท่านเรียกกองทรัพย์สินที่เป็นทุนของประเทศว่า
“คลังหลวง” โดยท่านอธิบายสิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นด้วยองค์ท่านเองไว้ว่า“
คลังหลวง คือ คลังสมบัติเดิมของบรรพบุรุษเรา ที่รักษาไว้เป็นมรดกของชาติ เป็นหัวใจของชาติ เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นแก่นเป็นสาระของชาติ... บรรพบุรุษของเราได้รักษามานมนาน มีกฎหมายบ้านเมืองรักษามาด้วยตลอดเวลา สมบัติเหล่านี้มีเก็บไว้เพื่ออะไร บรรพบุรุษท่านมีความเฉลียวฉลาดรอบคอบในบ้านเมืองที่ท่านปกครอง...เก็บไว้เพื่อความจำเป็น เวลามีความจำเป็นจริงๆ เรียกว่าเข้าขั้นวิกฤตการณ์หาทางออกไม่ได้แล้ว ท่านจึงจะนำสมบัติเหล่านี้ไปแก้เหตุการณ์ต่างๆ เพื่อเอาตัวรอดเป็นพักเป็นตอนไป เมื่อยังไม่ถึงขั้นวิกฤตการณ์ขนาดนั้น จึงต้องเก็บไว้ตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
”ในตอนนั้นลูกศิษย์ของท่านที่มีความรู้ระดับดอกเตอร์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง ได้ช่วยกันหาว่า
“คลังหลวง” ในความหมายของท่าน คือเงินส่วนไหนของประเทศ ค้นหากันจนพบว่ามีเงินที่เก็บสะสมกันมาจากบรรพบุรุษจริงๆเริ่มจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้เก็บเงินส่วนพระองค์ไว้ในถุงแดง เก็บรักษาไว้โดยทรงกันเงินถุงแดงไว้ต่างหากจากพระคลังมหาสมบัติ ไม่โปรดให้นำออกมาใช้จ่าย ด้วยทรงต้องการรักษาไว้เป็นทุนสำรองเพื่อความมั่นคงสงบสุขของแผ่นดิน ทรงรับสั่งว่า
“
ส่วนหนึ่งเก็บไว้เพื่อเป็นทุนสำหรับสร้างและทำนุบำรุงวัดวาอารามต่างๆ ทั้งในและนอกพระนคร อีกส่วนหนึ่งยกให้แผ่นดินเก็บรักษาไว้ใช้ในยามจำเป็น”การกันเงินส่วนพระองค์ไว้ในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของคลังหลวงในปัจจุบัน
เงินถุงแดงที่ยกให้เป็นของแผ่นดินได้เก็บรักษาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน โดยให้อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ให้แยกเป็นบัญชีต่างหากจากทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 มาตรา 28
“ทุนสำรองเงินตรานั้น ให้กันไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากสินทรัพย์อื่นๆ บรรดาที่เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย”ทรัพย์สินอันเริ่มจากเงินถุงแดงที่เก็บสะสมกันตลอดมา นอกจากในส่วนที่เป็นเงินทุนสำรองเงินตรา ซึ่งเป็นทรัพย์สินหนุนหลังเงินบาทไทยแล้ว ยังเป็นทุนสำรองทางการเงินของประเทศไทยเราด้วย เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่เป็นเงินของประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเพียงผู้มีหน้าที่จัดการดูแล
ในโครงสร้างระบบการเงินของประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแลเสถียรภาพและฐานะทางการเงินของประเทศ โดยแบ่งทรัพย์สินของประเทศเป็นสองกองใหญ่ๆ เป็นบัญชีแยกต่างหากจากกัน คือ บัญชีฝ่ายออกบัตรและบัญชีฝ่ายการธนาคาร
บัญชีฝ่ายออกบัตร เป็นบัญชีที่เก็บสินทรัพย์ที่มีไว้สำหรับหนุนหลังการพิมพ์ธนบัตรเพื่อให้ธนบัตรของประเทศไทยมีค่า และบัญชีฝ่ายออกบัตรนี้เป็นสินทรัพย์ที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติเงินตรา ถือเป็นคลังหลวงตามความหมายของหลวงตา
ส่วนบัญชีฝ่ายการธนาคาร เป็นทรัพย์สินของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ซึ่งจะนำไปใช้จ่ายอย่างใดก็ได้ จะนำไปลงทุนแสวงหากำไร หรือนำไปต่อสู้ค่าเงินบาทก็ได้ ดังเช่นการต่อสู้ค่าเงินบาทก่อนปี 2540 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนำเงินในส่วนนี้ไปต่อสู้ค่าเงินบาทจนหมดเนื้อหมดตัว แถมติดลบอีก จนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจปี 2540 ขึ้น เป็นเหตุให้หลวงตาต้องออกจากป่ามาช่วยชาติ
และเป็นความอัศจรรย์ เป็นเรื่องแปลงที่หลวงตาท่านรู้ได้อย่างไรว่า มีเงินคลังหลวงที่เป็นทุนสำรองของประเทศ ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในวันจันทร์หน้า
พระมหากษัตริย์ท่านให้ความสำคัญกับพระพุทธศาสนา กันเงินไว้เพื่อดูแลพระพุทธศาสนา แล้วในที่สุดพระพุทธศาสนาโดยหลวงตา ก็ออกมาช่วยชาติให้รอดพ้นจากวิกฤต
แล้วนักการเมือง ผู้ปกครองในยุคประชาธิปไตย ให้ความสำคัญหรือเข้าใจพระพุทธศาสนาเพียงใด


