จับตา'ช่องพริก'พื้นที่ร้อนจุดใหม่ชายแดนไทยกัมพูชา
...ทีมข่าวภายในประเทศ
แม้สถานการณ์เขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จะคลี่คลายลงไปหลัง พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 เจรจากับ พล.ท.เจีย มอน ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา ตกลงว่าแต่ละฝ่ายจะลดการเผชิญหน้า ไม่เพิ่มกำลังทหารเข้าพื้นที่ ความตึงเครียดหลังการปะทะกันเมื่อวันที่ 4 ก.พ. ค่อยลดระดับลง ประชาชน 30 หมู่บ้านตามแนวชายแดนพื้นที่ ต.รุง ภูผาหมอก และ ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่อพยพหนีการสู้รบบางส่วนเริ่มกลับบ้านด้วยความเป็นห่วงทรัพย์สิน ขณะที่ส่วนใหญ่ยังคงปักหลักอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ เนื่องจากมีข่าวลือว่าฝ่ายกัมพูชาจะโจมตีครั้งใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาประมาณ 14.00 น. ทหารไทยและกัมพูชาก็ปะทะกันด้วยอาวุธประจำกายอีกครั้งในพื้นที่ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ ด้านทิศใต้ของเขาพระวิหารตรงข้ามบ้านซำแต ซึ่งเป็นจุดที่ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนรถถังเข้ามาตั้งมั่นอยู่ การปะทะเกิดขึ้นนานประมาณ 15 นาที จึงสงบลง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันฝ่ายไทยได้แจ้งเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ ต.ภูผาหมอก และ ต.เสาธงชัย เตรียมตัวลงหลุมหลบภัย เนื่องจากเกรงว่าฝ่ายกัมพูชาอาจตอบโต้ด้วยอาวุธหนัก
แต่นอกเหนือจากชายแดนด้านเขาพระวิหารแล้ว สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาด้าน จ.สุรินทร์ ก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะพื้นที่ช่องพริก อ.บัวเชด เมื่อทหารกัมพูชานำกำลังเข้ามายังพื้นที่ ซึ่งฝ่ายไทยสร้างถนนเลียบแนวชายแดน โดยขอให้ไทยระงับการก่อสร้าง อ้างว่ารุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กัมพูชา
แต่ทั้งนี้ถนนดังกล่าวเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ จาก อ.บัวเชด มาถึงช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งหากเกิดสถานการณ์ใดๆ ขึ้น ฝ่ายไทยสามารถวางกำลังรับมือกับกองกำลังของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งตั้งมั่นอยู่ในพื้นที่จังหวัดอัลลองเวงได้โดยสะดวก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้โชคดีที่ไม่เกิดเหตุรุนแรงใดๆ ขึ้น
หลังการปะทะกันในพื้นที่เขาพระวิหารชายแดน จ.สุรินทร์ ดูเหมือนจะเพิ่มระดับความร้อนแรงขึ้นตามมา ไม่เพียงการเสริมกำลังจำนวนมากของฝ่ายกัมพูชา ทั้งกำลังทหารและรถถัง ที55 จำนวน 10 คัน เข้ามายังพื้นที่บ้านปะอง อำเภอสำโรง จังหวัดอุดรมีชัย ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งกัมพูชาเตรียมจะเคลื่อนเข้ามายังโอร์เสม็ด ซึ่งอยู่ตรงข้ามจุดผ่านแดนช่องจอม อ.กาบเชิง
นอกจากนี้ ยังมีนายทหารระดับสูงของกัมพูชาตั้งวอร์รูมบัญชาการอยู่ในพื้นที่โอร์เสม็ดอีกด้วย อาทิ พล.อ.บูเมิน รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา พล.อ.ปิน จัน บัว ผู้บัญชาการสมรภูมิที่ 3 จังหวัดอุดรมีชัย และ พล.ต.โปเฮง รองผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ในฐานะผู้บัญชาการเฉพาะกิจภูมิภาคที่ 4 ส่วนหน้า โดยมีกำลังทหารกว่า 5 กองร้อย และสรรพาวุธต่างๆ ทั้งรถถัง รถยิงจรวด และอาวุธหนักต่างๆ พร้อมเข้าสนับสนุนกำลังที่วางเผชิญหน้ากับฝ่ายไทยในพื้นที่ใกล้ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ของไทย
ขณะที่หัตถชัย เพ็งแจ่ม นักธุรกิจไทยในพื้นที่ช่องสะงำ ซึ่งมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักธุรกิจและข้าราชการระดับสูงของกัมพูชา มองสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงว่าจะยังไม่จบลงง่ายๆ
“
หลังการปะทะเกิดขึ้น สื่อกัมพูชาออกข่าวปลุกกระแสความคลั่งชาติว่าเตือนไทยแล้ว หากเข้ามาจะยิง เขาเป็นประเทศเล็กจึงต้องต่อสู้เพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ปกป้องอธิปไตย”หัตถชัย กล่าวว่า ความขัดแย้งครั้งนี้เห็นได้ชัดว่า ฝ่ายกัมพูชาเสริมกำลังเข้ามามากกว่าทุกครั้ง อีกทั้งรัฐบาลกัมพูชายังมีนโยบายส่งเสริมให้ทหารกัมพูชนำครอบครัวมาตั้งชุมชนสร้างหมู่บ้านตามแนวชายแดนให้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณให้อย่างเต็มที่
“มองในระยะเฉพาะหน้า ฝ่ายกัมพูชาเขาจะนำปัญหาที่เกิดขึ้นกล่าวหาไทยในเวทีโลกอย่างเต็มที่ นอกจากการร้องเรียนไปยังสหประชาชาติแล้ว เขาก็อ้างว่าฝ่ายไทยได้ทำลายโบราณสถานปราสาทพระวิหาร ซึ่งจะเป็นโอกาสที่เขาจะร้องขอให้คณะกรรมการมรดกโลก ตัดไทยออกจากการร่วมทำแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร”สถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาแม้เสียงปืนจะยุติลง แต่ก็ใช่ว่าความเงียบนั้นจะเป็นความสงบ ตรงกันข้ามความร้อนแรงกำลังค่อยๆ ลามไม่ต่างจากไฟสุมขอน รอเพียงลมที่จะพัดกระพือให้ไฟลุกโหม


