posttoday

รัฐบาล "หนูไม่ง่อย" ภารกิจหลังแถลงนโยบาย ท่ามกลางความท้าทาย

01 ตุลาคม 2568

หลังจากการอภิปรายนโยบายเป็นเวลาสองวันสิ้นสุดลง รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้เริ่มต้นภารกิจการบริหารประเทศอย่างเป็นทางการแล้ว ท่ามกลางความท้าทาย

การประกาศเจตนารมณ์ในการทำงานภายใต้กรอบเวลาที่จำกัดผ่านวาทะ "นี่หนูนะครับ ไม่ใช่เป็ดง่อย" ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นจากฝ่ายค้านในประเด็นความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลและคุณสมบัติของรัฐมนตรีรายบุคคล รัฐบาลของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีทั้งทั้งโอกาสและความท้าทายที่รออยู่เบื้องหน้า

 

ในคำกล่าวปิดการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของนาย อนุทิน ย้ำคำสัญญาว่าจะดำเนินการ ยุบสภาภายใน 4 เดือน และจะสนับสนุนการเดินหน้า แก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาร่วมกันประชุมคณะกรรมการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ หากเป็นไปได้คือภายในเดือนธันวาคม เพื่อให้รัฐบาลชุดต่อไปสามารถเข้ามาสานต่อได้ทันที

 

และยังยืนยันว่าจะไม่ใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ตนเองหรือพวกพ้อง หากพบว่ามีรัฐมนตรีคนใดกระทำผิดกฎหมาย จะเป็นผู้เร่งรัดดำเนินการด้วยตนเองโดยไม่ละเว้น

 

จะน้อมรับฟังข้อเสนอแนะ คำวิจารณ์ และความคิดเห็นจากสมาชิกรัฐสภาทุกคน 

 

ทันทีที่เสร็จสิ้นการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 30 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรกทันที 

รัฐบาล "หนูไม่ง่อย" ภารกิจหลังแถลงนโยบาย ท่ามกลางความท้าทาย

 

แม้รัฐบาลจะเริ่มต้นเดินหน้าทำงานอย่างรวดเร็ว แต่ในเวทีรัฐสภา รัฐบาลต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นจากฝ่ายค้าน ในมิติของกระบวนการจัดตั้งรัฐบาลที่ถูกมองว่าไม่ปกติ และคุณสมบัติของรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล

 

น.ส.จิราพร สินธุไพร สส. จากพรรคเพื่อไทย กล่าวหาว่าเป็นการจัดตั้ง "รัฐบาลด้วยวิธีพิสดาร" โดยเรียงลำดับเหตุการณ์ให้เห็นถึงความผิดปกติ

 

• 18 มิ.ย.: พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาลแพทองธาร

• 24 มิ.ย.: ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านกล่าวว่าไทยจะเปลี่ยนผู้นำใน 3 เดือน

• 1 ก.ค.: ศาลรัฐธรรมนูญรับ "คดีคลิปเสียง" และสั่งให้ น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่

• 29 มิ.ย.: ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นตำแหน่ง เธอจึงตั้งคำถามว่า MOA เป็นเพียงฉากหน้าของข้อตกลงอื่นที่ซ่อนอยู่หรือไม่ และวิจารณ์ว่าภารกิจแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกลดทอนความสำคัญเหลือเพียง 3 บรรทัดในเอกสารนโยบาย

 

เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าว นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ชี้แจงโดยเปิดเผยบทสนทนากับอดีตนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นเหตุให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัว โดยระบุว่าพรรคเพื่อไทยต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน นายอนุทินได้เสริมบริบทการตัดสินใจของตนโดยอ้างว่า หลังกลับจากการเยือนกัมพูชา มีเพื่อนแจ้งข้อมูลว่าผู้นำกัมพูชาได้รับแจ้งว่า "ไม่ต้องคุยกับตนมาก เพราะจะมีการปลดออกจาก มท. 1 อยู่แล้ว" ยืนยันว่ากระบวนการจัดตั้งรัฐบาลหลังจากนั้นเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้มีสิ่งใด "พิสดาร" ตามที่ถูกกล่าวหา

รัฐบาล "หนูไม่ง่อย" ภารกิจหลังแถลงนโยบาย ท่ามกลางความท้าทาย

 

นอกจากการอภิปรายภาพรวมแล้ว ฝ่ายค้านยังได้ตั้งคำถามถึงคุณสมบัติและความเหมาะสมของรัฐมนตรีหลายคน เช่น นายโสภณ ซารัมย์,นายไชยชนก ชิดชอบ,นายสุชาติ ชมกลิ่น,จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ,พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่คาดว่าจะยังคงตกเป็นเป้าโจมตีต่อเนื่องแม้จบการอภิปรายในสภา

 

นอกเหนือจากความท้าทายทางการเมืองในสภา รัฐบาลยังต้องเผชิญกับโจทย์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนได้แสดงความกังวลมาตลอด 

 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้นำเสนอบทวิเคราะห์ที่สะท้อนมุมมองของภาคเอกชนต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยชี้ให้เห็นถึงมาตรการกระตุ้นระยะสั้นที่อาจช่วยประคองเศรษฐกิจได้ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและข้อจำกัดที่สำคัญหลายประการ

 

นโยบายเศรษฐกิจระยะสั้น (Quick Win)

 

บทวิเคราะห์ระบุว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลอาจช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและประคองเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีได้ โดยมีมาตรการสำคัญที่น่าจับตามอง ได้แก่

 

• โครงการคนละครึ่งพลัส: คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 หากมีวงเงินราว 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะสามารถกระตุ้น GDP ได้ประมาณ 0.15%

 

• มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว: มีแนวคิดที่จะนำโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" กลับมาใช้อีกครั้งในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว เพื่อส่งเสริมการเดินทางในประเทศ

 

อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังได้ชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัดและความท้าทายที่รัฐบาลต้องเผชิญ ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบาย ดังนี้:

 

• ข้อจำกัดด้านการคลัง (Fiscal Space): พื้นที่ทางการคลังของประเทศมีจำกัด ประกอบกับมีความกังวลจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้การดำเนินนโยบายการคลังต้องเป็นไปอย่างระมัดระวังและมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

• กรอบเวลาการบริหารที่สั้น: การที่รัฐบาลประกาศจะยุบสภาภายใน 4 เดือน ทำให้การผลักดันนโยบายหลักหรือโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาเป็นไปได้ยาก

 

• สถานะรัฐบาลเสียงข้างน้อย: สถานะดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการผลักดันกฎหมายหรือนโยบายสำคัญ รวมถึงอาจมีผลต่อกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณ

 

• การเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุน: ศูนย์วิจัยฯ เสนอแนะว่า ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ รัฐบาลสามารถใช้การเร่งรัดเบิกจ่ายงบลงทุนที่ยังคงค้างอยู่ ซึ่ง ณ วันที่ 26 กันยายน 2568 มีการเบิกจ่ายไปเพียง 60% มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการประคองเศรษฐกิจในระยะสั้นได้

 

 

 การเดินทาง 4 เดือนของรัฐบาลเสียงข้างน้อย

 

รัฐบาลของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เริ่มต้นภารกิจด้วยจุดแข็งในด้านความมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างรวดเร็วและมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงในกรอบเวลา 4 เดือน การประชุม ครม. นัดแรกทันทีหลังแถลงนโยบายและการผลักดันมาตรการช่วยเหลือประชาชนอย่างฉับไวถือเป็นสัญญาณบวก อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลไปพร้อมกัน ทั้งจากการตรวจสอบทางการเมืองที่เข้มข้นจากฝ่ายค้านและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ ทั้งในด้านงบประมาณ เวลา และสถานะเสียงข้างน้อยในสภา

 

ช่วงเวลา 4 เดือนข้างหน้านี้ มีเหตุการณ์สำคัญที่จะเป็นบทพิสูจน์การทำงานของรัฐบาลชุดนี้

 

• ความคืบหน้าของ กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการผลักดันให้คณะกรรมการยกร่างฯ ทำงานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมาย

 

• ประสิทธิภาพในการ เบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะงบลงทุน และผลลัพธ์ของมาตรการเศรษฐกิจ Quick Win

 

• เสถียรภาพทางการเมืองของ รัฐบาลเสียงข้างน้อย และความสามารถในการบริหารจัดการความสัมพันธ์กับพรรคต่างๆ จนถึงวันประกาศยุบสภา

 

ผลงานและเสถียรภาพของรัฐบาลในช่วงเวลาอันสั้นนี้ จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของคำประกาศ "หนูไม่ง่อย" และจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดภูมิทัศน์ทางการเมือง รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่กำลังจะมาถึง

ข่าวล่าสุด

ศูนย์ฯ สิริกิติ์ Smart City ต้นแบบ! เปลี่ยนขยะเป็น RDF สู่ Net Zero 2050