posttoday

“เท้ง ณัฐพงษ์” อภิปรายนโยบาย“อนุทิน” ย้ำ! MOA จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

29 กันยายน 2568

“เท้ง ณัฐพงษ์” อภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาล “อนุทิน” ย้ำสัญญา MOA จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ปิดลูปรัฐประหาร เดินหน้าเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ของประเทศ

ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยคณะรัฐมนตรี ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้อภิปรายย้ำถึงความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการทำตามเงื่อนไข 4 เดือนตาม MOA ของรัฐบาลใหม่

 

นายณัฐพงษ์ ระบุว่า คนที่เกิดยุค 2500 ในวัยหนุ่มสาวกำลังอยู่ในยุคที่เศรษฐกิจไทยเติบโตโดยเฉลี่ยปีละ 9.7% เพราะประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากการเมืองโลกที่มีการจัดทำข้อตกลง Plaza จนทำให้มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก จนไทยได้รับการขนานนามว่าเป็น “เสือตัวที่ 5 ของเอเชีย” แต่คนที่เกิดในยุคนี้ได้ผ่านการรัฐประหารมาแล้วไม่ต่ำกว่า 6 ครั้งด้วยกัน 

 

ส่วนรุ่นของตนที่เกิดในยุค 2530 ผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นมากับการรัฐประหารปี 2549 โดย 19 ปีนับแต่การรัฐประหารในปี 2549 นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งถูกปลดออกจากตำแหน่งไปถึง 5 คน พรรคการเมืองที่สำคัญถูกยุบไปถึง 7 พรรค และการเลือกตั้งถูกล้มไป 2 ครั้ง

 

และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้มีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีถึง 3 คนด้วยกัน แปลว่าคนไทยที่มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 50 ล้านคนทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหน ไม่มีสักคนที่ในชีวิตที่ไม่เคยผ่านการรัฐประหารเลย ไม่เคยมีคนไทยสักรุ่นที่เกิดและเติบโตมาในประเทศนี้ โดยอยู่ในการเมืองประชาธิปไตยเต็มใบที่มีเสถียรภาพ

“เท้ง ณัฐพงษ์” อภิปรายนโยบาย“อนุทิน” ย้ำ! MOA จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

ประเทศไทยที่ผ่านมาไม่เคยมีสักยุคที่ดอกผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เติบโตแบบก้าวกระโดด เกิดจากแรงถีบและแรงส่งของรัฐบาลและการเมืองภายในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดจากแรงฉุดและแรงลากจากอานิสงส์ที่ไทยได้รับจากการเมืองโลก และการเมืองโลกวันนี้ก็ไม่ได้เข้าข้างประเทศไทยอีกต่อไป

 

 การเมืองแบบที่เป็นอยู่ ทำให้รัฐบาลต้องมาแถลงนโยบายถึง 3 ครั้งในรอบ 2 ปี เนื่องมาจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่ถูกนำมาใช้ทำลายล้างกันทางการเมืองมากกว่าการจับคนโกง ลงโทษคงผิด ปัญหาการทุจริตในประเทศไม่เคยเบาบางลง การเมืองแบบนี้หรือที่จะทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้

 

ตราบใดที่ไทยยังคงอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ คนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือเกษตรกรที่ผลผลิตราคายังคงตกต่ำ ปุ๋ยแพง หนี้ท่วมหัว แถมยังต้องเป็นหนี้นอกระบบ คนไทยทุกคนที่ต้องทนอยู่กับปัญหาฝุ่น PM2.5 พ.ร.บ.อากาศสะอาด ก็ยังล่าช้าผ่านสภาไปไม่ได้ ปัญหาน้ำท่วม ไฟป่าก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลยุคใดที่เข้ามาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

 

ซึ่ง 64 ปีมาแล้วที่ประชาชนในต่างจังหวัด เคยอยู่กับคำขวัญ “น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ” ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 แต่หลายพื้นที่วันนี้ยังคงน้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง ทางไม่สะดวก ขณะที่ลูกหลานคะแนนสอบ PISA ก็ตกลงอย่างต่อเนื่อง เทียบกับประเทศอาเซียนเด็กไทยอยู่อันดับที่ 5 เป็นรองทั้งสิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน และมาเลเซีย ระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวให้แข่งขันกับโลกในอนาคต และหลายคนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา

“เท้ง ณัฐพงษ์” อภิปรายนโยบาย“อนุทิน” ย้ำ! MOA จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ประเทศไทยเดินช้ากว่าโลกและประเทศเพื่อนบ้าน และในขณะที่ตั้งแต่ปี 2549 โลกเติบโตเฉลี่ย 3% ต่อปี แม้จะเจอกับวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 และโควิดในปี 2563 โลกยังฟื้นตัวกลับมาได้เร็วแต่ไทยไม่เคยฟื้นตัวกลับมายืนอยู่บนเส้นเดียวกับโลกได้เลย ในปี 2563 ขณะที่เศรษฐกิจโลกหดตัว 2.8% ไทยกลับตกลงถึง 6.05% ในปีต่อมาขณะที่โลกฟื้นตัวกลับมาได้สูงกว่าประเทศไทยถึง 6.4% แต่ไทยฟื้นตัวกลับมาได้เพียง 1.55% เท่านั้น 

 

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันกำลังอ่อนแอ อุตสาหกรรมล้าหลัง และไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนประเทศอื่น นี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่เป็นวงจรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นว่าหากปราศจากปัจจัยเชิงบวกที่ไทยได้รับอานิสงส์จากการเมืองโลกภายนอก ไทยแทบไม่เคยเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยลำแข้งของตัวเองเลย และในวันที่โลกมีแต่ปัจจัยเชิงลบ ไทยก็ดูดซับแรงกระแทกเหล่านั้นเข้าเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นโควิด สงครามการค้า สินค้าราคาถูก หรือปัญหาทุนเทา

 

ดัชนีการทุจริตของไทยวันนี้ก็ยังตกลงอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2555 ที่ไทยมีคะแนนดัชนี CPI อยู่ที่ 37 คะแนน ปี 2567 คะแนนของไทยกลับตกลงมาอยู่ที่ 34 คะแนน ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปี อยู่อันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก นั่นเพราะกลไกการตรวจสอบของไทยที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าใช้ปกป้องเงินภาษีของประชาชน

 

“รัฐธรรมนูญและระบบการเมืองแบบนี้หรือที่จะพาประเทศไทยพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว เศรษฐกิจไทยกลับช้า ตามไม่ทัน และติดหล่มอยู่กับที่ เพราะเครื่องยนต์หรือระบบการเมืองภายในประเทศกำลังฉุดรั้งรถคันนี้เอาไว้อยู่ ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยกเครื่องรถคันนี้ใหม่ให้เดินหน้าได้อย่างเต็มกำลัง” นายณัฐพงษ์ กล่าว

 

นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ถ้ามีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รัฐธรรมนูญจะต้องยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด ประเทศไทยต้องการรัฐบาลที่มีความโปร่งใส มีสิทธิภาพ และมีความชอบธรรม ยึดโยงกับประชาชน คณะรัฐมนตรีถูกแต่งตั้งมาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้มาจากเพียงแค่การจัดสรรโควตาหรือต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง มีรัฐบาลที่มีความชอบธรรม สะท้อนเจตจำนงทางการเมือง กล้าปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อกำหนดอนาคตของประเทศ วางยุทธศาสตร์ชาติที่ปรับเปลี่ยนได้ไปตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เลือกลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ถูกจุดมากกว่าการสร้างตึก ตัดถนน และขุดคลอง สร้างงานคุณภาพให้คนทุกคน เพิ่มระดับรายได้ให้ตั้งแต่เกษตรกรจนถึงนวัตกร เพิ่มมูลค่าให้สินค้าไทยตั้งแต่ข้าว มัน ยาง จนถึงรถคอมพิวเตอร์และปิโตรเคมี

 

ทุกห่วงโซ่อุปทานในประเทศไทยจะต้องได้รับการยกระดับใหม่เพื่อให้เป็นห่วงโซ่อุปทานสีเขียว ที่เพิ่มมูลค่าเป็นสินค้าที่โลกในอนาคตต้องการ ประเทศไทยต้องการระบบการถ่วงดุลตรวจสอบที่เป็นอิสระ ยึดโยงกับประชาชน ไม่ใช่ผลัดกันเกาหลังและถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง แต่เป็นระบบที่ใช้ตรวจสอบการใช้อำนาจโดยไม่ชอบ และปกป้องภาษีของประชาชนทุกคน

“เท้ง ณัฐพงษ์” อภิปรายนโยบาย“อนุทิน” ย้ำ! MOA จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่

ประเทศไทยที่ติดเครื่องยนต์ใหม่แบบนี้จำเป็นต้องเริ่มต้นจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อทำให้รถยนต์คันนี้สามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง นี่คือเหตุผลที่พรรคประชาชนมุ่งมั่นเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยอมลงคะแนนให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามข้อตกลงที่ปรากฏอยู่ใน MOA และการทำหน้าที่ของพวกตน

 

4 เดือนต่อจากนี้จะเป็นสิ่งที่ประชาชนจะใช้ตัดสินพวกตนในวันหน้า ดังนั้น สิ่งที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือนต่อจากนี้ในสภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อยหรือฝ่ายค้านเสียงข้างมากก็คือ

 

1) การเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน 4 เดือนนี้ต้องผ่านด้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ให้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภา โดยที่มาของผู้ร่างรัฐธรรมนูญจะต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

 

2) ผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด ภายในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรสามารถผ่านกฎหมายวาระ 3 และวาระ 1 ได้ถึง 11 ชุด ครอบคลุมทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายกระจายอำนาจ การแข่งขันทางการค้า กฎหมายแก้หนี้ ล้มละลายสมัครใจ คุ้มครองแรงงาน ควบคุมมลพิษ ศาลทหาร และการนิรโทษกรรมคดีที่ดินให้ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม โดยไม่นิรโทษกรรมให้นายทุนที่บุกรุกที่ป่า และยังมีกฎหมายอีกหลายชุดที่สมาชิกสามารถร่วมผลักดันได้ในระยะเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก เช่น พ.ร.บ.อากาศสะอาด เป็นต้น

 

3) ในช่วง 4 เดือนนี้ รัฐบาลใหม่สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ความมั่นคง และอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งปัญหาที่ตกค้างมาจากรัฐบาลชุดก่อนได้หลายเรื่อง

 

4) ตนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ จะยังคงทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะพรรคประชาชนไม่ได้ใช้เสียงลงคะแนนให้กับอนุทิน เพื่อให้รัฐบาลใหม่เอาอำนาจไปใช้โดยมิชอบ หรือเพื่อสนับสนุนการแต่งตั้งบุคคลที่ไม่มีความเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรี หรือเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขากระโดง หรือฮั้ว สว. และการตรวจสอบคดีทุจริตในรัฐบาลที่ผ่านมา

 

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวต่อไปว่า ตนและพรรคประชาชนจะใช้เสียงเพื่อให้ 4 เดือนต่อจากนี้เป็นโอกาสที่สำคัญในการเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ของประเทศ  ที่ลูกหลานไทยในยุคต่อไปจะเป็นลูกหลายไทยรุ่นแรกที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้ง โดยที่ตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่วันที่เกิดจนถึงวันที่พวกเขามีสิทธิเลือกตั้ง อยู่ในระบบการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตย ปราศจากการรัฐประหาร ประเทศไทยจะได้พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่การใช้เสียงเพื่อที่จะไปปิดประตูแล้วทำให้วงจรชีวิตของลูกหลานยังคงติดอยู่ในระบบการเมืองแบบที่คนทุกรุ่นในยุคนี้กำลังเสื่อมศรัทธา

 

“ฝากไปถึงคุณอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ สิ่งที่เราอยากเห็นนั้นจะไม่ใช่แค่การที่ต้องเคารพต่อข้อตกลงที่ทำไว้กับพรรคประชาชน แต่อยากเห็นนายกรัฐมนตรีเคารพต่อกระบวนการยุติธรรมและประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศและเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ด้วย” นายณัฐพงษ์กล่าว

ข่าวล่าสุด

ปภ.เผยน้ำท่วมใต้เหลือ 4 จังหวัด เร่งฟื้นฟู–เยียวยาต่อเนื่อง