กาง3โมเดลร่างรัฐธรรมนูญ 3พรรค ภท.-พท.-ปชน. ชิงเกม สสร.
3 พรรคการเมืองเปิดโมเดลร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ภูมิใจไทยยึด สสร.40, เพื่อไทยเน้นแก้ ม.256 เสนอ 143 คน, ประชาชนดัน “2 คณะ” ให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากสุด
KEY
POINTS
- 3 พรรคการเมืองหลัก ได้แก่ ภูมิใจไทย, เพื่อไทย และประชาชน เสนอโมเดลร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านกลไกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มีรายละเอียดแตกต่างกัน
- ความแตกต่างสำคัญอยู่ที่วิธีการได้มาซึ่ง สสร. โดยมีตั้งแต่รูปแบบที่รัฐสภามีอำนาจคัดเลือก (ภูมิใจไทย), การเลือกตั้งทางอ้อม (เพื่อไทย), จนถึงการมีคณะผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (ประชาชน)
- ทุกโมเดลมีจุดร่วมในการออกแบบเพื่อเลี่ยงการขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ห้ามเลือกตั้ง สสร. โดยตรง ทำให้ต้องใช้แนวทางแบบผสมผสานที่รัฐสภายังมีอำนา
ร่างรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับภูมิใจไทย – เพื่อไทย – ประชาชน
ความเหมือนและความต่างบนเส้นทางสู่ สสร.
ฉากหลังเกมแก้รัฐธรรมนูญ
การเมืองไทยหลังรัฐบาล “อนุทิน 1” ถูกผลักเข้าสู่สนามใหม่ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ถูกมองว่าเป็นคำตอบของวิกฤตความชอบธรรมทางการเมืองและระบบเลือกตั้งที่ไม่สะท้อนเสียงประชาชนอย่างแท้จริง แต่การเดินหน้าแก้ไขกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยชัดเจนว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง
ดังนั้น พรรคการเมืองจึงต้องหาทางออกเชิง “ลูกผสม” เพื่อให้กระบวนการยังคงยึดโยงกับประชาชน แต่ไม่เสี่ยงต่อการถูกตีตกตั้งแต่ต้น พรรคใหญ่ทั้ง ภูมิใจไทย, เพื่อไทย และประชาชน จึงต่างเปิดโมเดลร่างรัฐธรรมนูญที่มีทั้งความเหมือนและความต่าง
จุดร่วมคือ การสร้างกลไก สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) หรือคณะผู้ยกร่างฯ ที่ไม่ขาดการเชื่อมโยงกับสังคม แต่รายละเอียดปลีกย่อยสะท้อนทิศทางและยุทธศาสตร์ทางการเมืองของแต่ละพรรค
โมเดลทั้ง 3 พรรค – จุดแข็งและข้อจำกัด
พรรคภูมิใจไทย – โมเดล สสร.40
- ยึดต้นแบบจากรัฐธรรมนูญปี 2539
- กำหนด สสร. 99 คน:
- 77 คน ตัวแทนจังหวัด (สมัครในพื้นที่ แต่ให้รัฐสภาเป็นผู้เลือก)
- 22 คน ผู้เชี่ยวชาญจากนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสาขาอื่น
- สสร. 99 คนนี้จะสรรหา กรธ. 25 คน เพื่อยกร่างจริง
- ข้อดี: โครงสร้างกะทัดรัด ชัดเจนว่ามีทั้งตัวแทนพื้นที่และผู้เชี่ยวชาญ
- ข้อจำกัด: ลดอำนาจการตัดสินใจตรงจากประชาชน เพราะให้รัฐสภาเป็นผู้คัดเลือกขั้นสุดท้าย
พรรคเพื่อไทย – โมเดลแก้ มาตรา 256
- เสนอเพิ่มหมวด 15/1 เพื่อกำหนดที่มาของ สสร. เท่านั้น
- จำนวน สสร. ราว 143 คน:
- 100 คน จากประชาชน “เลือกทางอ้อม” (ประชาชนเลือก 200 คน รัฐสภาคัดเหลือ 100)
- 40 คน จากองค์กรวิชาการ ภาคประชาชน และวิชาชีพ
- กลุ่มวิชาการ 40 คนจะเป็นฐานไปเลือก กรธ.
- ข้อดี: เปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีบทบาทมากขึ้นกว่าภท. และใช้ตัวเลขที่สะท้อนประชากร
- ข้อจำกัด: ยังถูกวิจารณ์ว่าเป็น “การเลือกตั้งสองชั้น” ที่ประชาชนอาจไม่รู้สึกถึงอำนาจเต็ม
พรรคประชาชน – โมเดล “2 คณะ”
- ตั้ง คณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญ 35 คน:
- ให้ประชาชนสรรหา 70 คนแบบบัญชีรายชื่อ (ทีม)
- รัฐสภาคัดเหลือ 35 โดยอิงผลการสรรหา
- ตั้ง คณะผู้แทนประชาชน 100 คน:
- เลือกตั้งโดยตรงในแต่ละจังหวัด (1–5 คน/จังหวัด)
- ทำหน้าที่สะท้อนเสียงสังคม ประกบคณะผู้ร่างฯ
- ร่างเสร็จต้องผ่านรัฐสภา หากผ่านจึงส่งประชามติ
- ข้อดี: มีการเลือกตั้งตรงของประชาชน (แม้เป็นคณะ “ผู้แทน”) ทำให้เกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมจริง
- ข้อจำกัด: กระบวนการซับซ้อน 2 ชั้น ใช้เวลานาน และเสี่ยงขัดแย้งหากสองคณะเห็นไม่ตรงกัน
วิเคราะห์เปรียบเทียบและแนวโน้มอนาคต
ความเหมือน
- เลี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาล: ทุกโมเดลไม่ให้ประชาชนเลือก สสร. โดยตรงทั้งหมด แต่ปรับเป็น “เลือกทางอ้อม” หรือ “สรรหา + รัฐสภาคัดเลือก”
- มีตัวแทนประชาชน: ทั้งสามพรรคพยายามใส่กลไกให้คนจากพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วม
- รัฐสภายังมีอำนาจสูงสุด: ร่างสุดท้ายต้องกลับไปให้รัฐสภาเห็นชอบ
ความต่าง
- ภูมิใจไทย: ยึดแบบจำลองเก่า ใช้โครงสร้างกะทัดรัดและให้น้ำหนักรัฐสภามาก
- เพื่อไทย: เปิดกว้างกว่าในเชิงปริมาณ มี สสร. เกินร้อยและเชื่อมโยงประชากร แต่ยังเลือกแบบอ้อม
- ประชาชน: เสนอนวัตกรรม “2 คณะ” ให้ประชาชนเลือกโดยตรงในส่วนของ “สภาที่ปรึกษา” เพื่อสร้างความชอบธรรม
แนวโน้มอนาคต
- โอกาสผ่านรัฐสภาอาจขึ้นกับการเจรจาระหว่าง พรรคภูมิใจไทยกับวุฒิสภา ซึ่งยังเป็นด่านใหญ่
- เพื่อไทย อาจใช้โมเดลนี้เป็นเวทีการเมืองยืนยันว่าตน “ยึดประชาชน” แม้ต้องยอมโครงสร้างทางอ้อม
- ประชาชน แม้ร่างซับซ้อน แต่หากได้แรงหนุนจากภาคประชาสังคม อาจเป็นโมเดลที่สร้างพลังต่อรองเชิงสัญลักษณ์
ท้ายที่สุด เกมการเมืองร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้วัดกันแค่ตัวเลข สสร. เท่าไร แต่วัดกันที่ว่าใครสามารถ สร้างสมดุลระหว่างความชอบธรรมทางประชาธิปไตยกับข้อจำกัดทางกฎหมาย ได้ดีกว่ากัน


