“อนุทิน” เตรียมแผนเยือน UN โต้กัมพูชาฟ้องโลกเหตุพิพาทชายแดน
“อนุทิน” เตรียมแผนเยือนสหประชาชาติ ย้ำไทยต้องมีที่ยืนบนเวทีโลก หลัง “กัมพูชา” เคลื่อนไหวร้องนานาชาติ เผยเร่งตรวจสอบให้สอดคล้องกับหลักปฏิบัติทางการทูต
KEY
POINTS
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เตรียมเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UN) เพื่อชี้แจงและตอบโต้กรณีที่กัมพูชาร้องเรียนประเด็นพิพาทชายแดน
- การเดินทางมีกำหนดการที่เร่งด่วน โดยต้องเกิดขึ้นหลังพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ และต้องกลับมาให้ทันการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในช่วงปลายเดือนกันยายน
- นอกจากการปกป้องอธิปไตยและชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว จะมีการหยิบยกประเด็นด้านเศรษฐกิจและการค้าขึ้นหารือในเวทีโลกด้วย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงการเตรียมการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (UNGA) ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบกำหนดการสำคัญ โดยเฉพาะวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาซึ่งเบื้องต้นได้เสนอขอเป็นวันจันทร์ที่ 29 กันยายน 2568 อย่างไรก็ตาม เวทีสหประชาชาติที่เปิดโอกาสให้ผู้นำประเทศขึ้นแสดงวิสัยทัศน์จะจัดขึ้นในวันที่ 26 กันยายน ขณะที่พิธีเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณจะมีขึ้นวันที่ 24 กันยายน
ภายหลังพิธีถวายสัตย์ฯ นายกรัฐมนตรีระบุว่าจะมีการเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีทันที เพื่อหารือประเด็นการเข้าร่วมประชุมดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาว่ารัฐบาลมีสถานะที่สามารถเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่ UN ได้หรือไม่
นายอนุทินเน้นย้ำว่า การปรากฏตัวบนเวทีสหประชาชาติถือเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อยืนยันบทบาทและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในประชาคมโลก โดยเฉพาะภายหลังที่มีประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชานำประเด็นร้องเรียนไปยังเวทีนานาชาติ ซึ่งไทยควรใช้โอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่ฝ่ายละเมิดกฎระเบียบสากลตามที่ถูกกล่าวหา
ทั้งนี้ ตนได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเตรียมพร้อมเดินทางแทน หากตนไม่สามารถเข้าร่วมได้ทันตามกำหนดการ โดยเบื้องต้นกำหนดแนวทางการเดินทางไป-กลับอย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถเข้าร่วมการหารือทวิภาคีและการประชุมสำคัญในวันที่ 25–26 กันยายน ก่อนกลับมาทันการแถลงนโยบายรัฐบาลในช่วงปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม 2568
สำหรับประเด็นที่จะหยิบยกในที่ประชุม UN นั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า ครอบคลุมทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้า ภาษีนำเข้า-ส่งออก รวมถึงการธำรงอธิปไตยของไทย โดยยืนยันว่าทุกขั้นตอนจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดและหลักปฏิบัติทางการทูต


