ศึกชิงหัวหน้าปชป. ดร.สามารถ ชี้ขั้วเดิมคุมเกมเหนือคนนอก
ดร.สามารถ ผ่าศึกเลือกหัวหน้า ปชป. โครงสร้างโหวตเอื้อขั้วอำนาจเดิม ครองเสียง ส.ส.-กก.บห.รวม 60% คนนอกสู้ยาก เว้นแต่ขั้วเดิมยอมเปิดทาง
KEY
POINTS
- ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ วิเคราะห์ว่า "ขั้วอำนาจเดิม" ในพรรคประชาธิปัตย์กุมความได้เปรียบในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่
- ความได้เปรียบมาจากโครงสร้างคะแนนเสียงที่ให้สัดส่วน ส.ส. (40%) และกรรมการบริหารพรรค (20%) รวมกันเกือบ 60% ซึ่งสามารถชี้ขาดผลได้
- ผู้สมัคร "คนนอกขั้ว" มีโอกาสชนะได้ยาก เว้นแต่ขั้วอำนาจเดิมจะยอมเปิดทางเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์ของพรรคที่กำลังตกต่ำ
ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กวิเคราะห์ศึกเลือกหัวหน้าพรรค ปชป. คนใหม่ ชี้ “ขั้วอำนาจเดิม” ครองเกมเพราะโครงสร้างคะแนนเสียงเอื้อ โดย ส.ส. 25 คนมีสัดส่วน 40% กก.บห. 32 คนมีอีก 20% รวมแล้วเกือบ 60% หากจับมือกันย่อมชี้ขาดได้ทันที
ขณะที่ “คนนอกขั้ว” ต้องอาศัยทั้งการเจาะ ส.ส. บางส่วน ดึง กก.บห. แหกค่าย และกวาดคะแนนโหวตเตอร์อื่นให้มากกว่า 30% ซึ่งเป็นเรื่องยาก เว้นแต่ขั้วเดิมจะยอมเปิดทาง เพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์พรรคในยามที่ความนิยมตกต่ำอยู่ในขณะนี้ ขึ้นอยู่กับว่าโหวตเตอร์จะเลือกเพื่อส่วนรวม หรือเพื่ออำนาจกลุ่มใด
สำหรับเนื้อหาทั้งหมด เป็นดังนี้
ศึกชิง “หัวหน้าพรรค ปชป.”
ใครคุมเกม?
อีกไม่นานพรรคประชาธิปัตย์จะมีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่แทนนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ที่เพิ่งลาออกไป คำถามคือ... ใครจะเป็นผู้คุมเกมตัวจริง?
1. เกมตัวเลข... ใครคุมคะแนนเสียง?
ตามข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ “โหวตเตอร์” ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
(1) ส.ส.ปัจจุบันมีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่
กลุ่ม ส.ส.คือฐานกำลังที่แข็งที่สุด ใครกุมเสียง ส.ส.ได้ก็มีโอกาสได้รับชัยชนะ ปัจจุบัน ส.ส.ของพรรค ปชป.มีจำนวน 25 คน มีคะแนน 40% นั่นหมายความว่า ส.ส. 1 คน จะมีคะแนนถึง 1.6% (40%/25)
(2) กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) มีคะแนน 20% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่
เดิม กก.บห. มีทั้งหมด 40 คน ลาออกไป 8 คน เหลือ 32 คน ในจำนวนนี้มีคนที่เป็น ส.ส.ปัจจุบัน 8 คน เหลือ กก.บห.ที่ไม่เป็น ส.ส. 24 คน มีคะแนน 20% นั่นหมายความว่า กก.บห. 1 คน จะมีคะแนน 0.83% (20%/24)
(3) โหวตเตอร์อื่น เช่น อดีตหัวหน้าพรรค อดีตเลขาธิการพรรค อดีต ส.ส. รัฐมนตรีของพรรคในปัจจุบัน อดีตรัฐมนตรีของพรรค หัวหน้าสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจำจังหวัด เป็นต้น มีคะแนน 40% ของคะแนนเสียงของที่ประชุมใหญ่
ตามข้อบังคับพรรค โหวตเตอร์ทั้งหมดจะต้องมีอย่างน้อย 250 คน ดังนั้น จำนวนโหวตเตอร์อื่นจะต้องมีไม่น้อยกว่า 201 คน (250-25-24) มีคะแนน 40% นั่นหมายความว่าโหวตเตอร์อื่น 1 คน จะมีคะแนน 0.20% (40%/201) เท่านั้น ถ้าในวันเลือกตั้ง มีโหวตเตอร์เข้าร่วมมากกว่า 250 คน จะยิ่งทำให้โหวตเตอร์อื่นมีคะแนนต่อคนลดน้อยลงอีก
สรุปง่ายๆ เสียง ส.ส. และ กก.บห.แทบจะชี้ขาดทุกอย่าง เพราะมีคะแนนต่อคนสูง และส่วนใหญ่ยังอยู่ใน “ขั้วอำนาจเดิม”… นั่นคือคำตอบว่า “ขั้วอำนาจเดิม” เป็นผู้คุมคะแนนเสียง!
2. สมการชนะเลือกตั้ง
ลองคิดเล่นๆ... ถ้าได้คะแนนเสียงจาก ส.ส. 21 คน คิดเป็น 33.6% บวกกับ กก.บห. 20 คน คิดเป็น 16.60% รวมแล้วได้ 50.20%... ชนะเลือกตั้งทันที!
นี่คือเหตุผลว่าทำไม “ขั้วอำนาจเดิม” จึงได้เปรียบ
3. ทำไม “คนนอกขั้วอำนาจเดิม” จึงสู้ยาก?
เหตุผลคือ กลุ่ม ส.ส.รวมกับกลุ่ม กก.บห. มีคะแนนรวมถึง 60% ถ้าขั้วอำนาจเดิมรวมกันได้ครบ “คนนอกขั้วอำนาจ” แทบจะหมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ลงสนาม!
แต่ยังมี “สูตรคณิตศาสตร์การเมือง” ที่จะทำให้ “คนนอกขั้วอำนาจ” พอจะมีลุ้นคือ...
(1) ต้องเจาะเข้าถึง ส.ส.บางส่วน แค่ 4 คน ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ยังไม่พอ
(2) ต้องมีเครือข่าย กก.บห.ที่ยอมแหกค่าย
(3) ต้องกวาดคะแนนจากโหวตเตอร์อื่นอย่างน้อย 30-35% จากทั้งหมด 40% ซึ่งไม่ง่าย
4. สรุป
ถ้า “ขั้วอำนาจเดิม” เห็นว่าพรรคฯ อยู่ในสถานการณ์ที่คะแนนความนิยม “จมดิ่ง” ยากที่จะเข็นต่อไป และมีความรักพรรคฯ อย่างจริงใจ หันมาเปิดไฟเขียวให้หนุน “คนนอกขั้วอำนาจ”
พรรคฯ จะได้ผู้นำคนใหม่ที่มาจากนอกขั้วอำนาจเดิม มาช่วยกันฟื้นฟูพรรคฯ ให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น แต่ถ้าขั้วอำนาจเดิมจับมือกันแน่น ผลลัพธ์แทบจะถูกเขียนไว้ล่วงหน้าแล้ว
สุดท้ายอยู่ที่ “โหวตเตอร์ทุกคน” จะเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใคร? เพื่อส่วนรวม? หรือเพื่ออำนาจของบางกลุ่ม?
ที่มา เพจเฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ - Dr.Samart Ratchapolsitte (คลิ๊กอ่าน)


