posttoday

ด่วน! มติศาลรธน.“แพทองธาร”หลุดเก้าอี้นายกฯ-ครม.พ้นทั้งคณะ

29 สิงหาคม 2568

ศาลรัฐธรรมนูญมติ 6 ต่อ 3 ชี้ “แพทองธาร” ขาดคุณสมบัติร้ายแรง ปมคลิปเสียงฮุนเซน สิ้นสุดความเป็นนายกฯ–ครม.พ้นทั้งคณะ มีผลย้อนหลัง 1 ก.ค.

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญมติ 6 ต่อ 3 ชี้ “แพทองธาร” ขาดคุณสมบัติร้ายแรง สิ้นสุดความเป็นนายกฯ
  • ผลคำวินิจฉัยทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังรักษาการต่อไป
  • ศาลกำหนดผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ก.ค. 2568 พร้อมเปิดให้คัดถ่ายคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน

เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญโดยองค์คณะตุลาการทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน กรณีขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สิ้นสุดลงจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา

องค์คณะตุลาการทั้ง 9 คนประกอบด้วย

  1. นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
  2. นายปัญญา อุดชาชน
  3. นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม
  4. นายวิรุฬห์ แสงเทียน
  5. นายจิรนิติ หะวานนท์
  6. นายนภดล เทพพิทักษ์
  7. นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
  8. นายอุดม รัฐอมฤต
  9. นายสุเมธ รอยกุลเจริญ
     

ศาลมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เห็นว่า น.ส.แพทองธาร “ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวทันที และทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่รักษาการต่อไป

เสียงข้างมากแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

4 ตุลาการ (ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์) เห็นว่าขาดคุณสมบัติทั้งสองมาตรา

2 ตุลาการ (อุดม สิทธิวิรัชธรรม, อุดม รัฐอมฤต) เห็นว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (5)

ส่วนเสียงข้างน้อย 3 คน (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นภดล เทพพิทักษ์, สุเมธ รอยกุลเจริญ) เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรม แต่ไม่ถึงขั้นร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรียังไม่สิ้นสุด
 

ศาลกำหนดให้ผลคำวินิจฉัยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 อันเป็นวันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และเปิดให้คู่กรณีคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้ภายใน 15 วันนับแต่วันอ่านคำวินิจฉัย

ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุใจความสำคัญว่า ศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจากเป็นประเด็นตามรัฐธรรมนูญ มิใช่การก้าวล่วงตรวจสอบทางการเมืองระหว่างประเทศเหมือนที่เคยมีการศึกษากรณีต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ และอังกฤษ แต่เป็นเรื่องการขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ประเด็นหลักที่ศาลยกขึ้นพิจารณา

การรับฟังพยานหลักฐาน – ศาลชี้ว่า “คลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน” แม้ได้มาโดยไม่ชอบ แต่ผู้ถูกร้องยอมรับว่าเป็นเสียงตนเอง ไม่มีกฎหมายห้ามฟัง และไม่ได้ถูกขู่เข็ญหรือบังคับแต่อย่างใด จึงถือเป็นหลักฐานสำคัญ

มาตรฐานซื่อสัตย์สุจริต – รัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องแสดงความสุจริตโปร่งใสอย่างเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้ว ศาลเห็นว่า การเจรจาแม้จะเป็นช่องทางส่วนตัว แต่มีเนื้อหาสำคัญด้านความมั่นคงชายแดน ซึ่งเป็นหน้าที่ในฐานะนายกฯ มิใช่ประชาชนทั่วไป

ผลประโยชน์ชาติ vs. ผลประโยชน์ส่วนตน – ศาลเห็นว่าการขอ “ให้ฮุนเซนเห็นใจ” และการเปิดช่องยอมรับข้อเรียกร้อง อาจสร้างความเคลือบแคลงว่าผู้ถูกร้องเอื้อประโยชน์แก่กัมพูชา เพื่อตอบสนองผลทางการเมืองของตน มากกว่าผลประโยชน์ชาติ

ศาลยังระบุว่า แม้ผู้ถูกร้องอ้างเจตนาเพื่อรักษาความสงบและป้องกันการปะทะ แต่พฤติการณ์ดังกล่าวลดทอนเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีและไทยในเวทีนานาชาติ ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง.
 

คลิ๊กอ่านรายละเอียด คำวินิจฉัย

 

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เบรนท์ฟอร์ด พบ ลีดส์ ยูไนเต็ด พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68