ด่วน! มติศาลรธน.“แพทองธาร”หลุดเก้าอี้นายกฯ-ครม.พ้นทั้งคณะ
ศาลรัฐธรรมนูญมติ 6 ต่อ 3 ชี้ “แพทองธาร” ขาดคุณสมบัติร้ายแรง ปมคลิปเสียงฮุนเซน สิ้นสุดความเป็นนายกฯ–ครม.พ้นทั้งคณะ มีผลย้อนหลัง 1 ก.ค.
KEY
POINTS
- ศาลรัฐธรรมนูญมติ 6 ต่อ 3 ชี้ “แพทองธาร” ขาดคุณสมบัติร้ายแรง สิ้นสุดความเป็นนายกฯ
- ผลคำวินิจฉัยทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังรักษาการต่อไป
- ศาลกำหนดผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 ก.ค. 2568 พร้อมเปิดให้คัดถ่ายคำวินิจฉัยภายใน 15 วัน
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญโดยองค์คณะตุลาการทั้ง 9 คน ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน กรณีขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สิ้นสุดลงจากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
องค์คณะตุลาการทั้ง 9 คนประกอบด้วย
- นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ
- นายปัญญา อุดชาชน
- นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม
- นายวิรุฬห์ แสงเทียน
- นายจิรนิติ หะวานนท์
- นายนภดล เทพพิทักษ์
- นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์
- นายอุดม รัฐอมฤต
- นายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ศาลมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 เห็นว่า น.ส.แพทองธาร “ขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) ส่งผลให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวทันที และทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังปฏิบัติหน้าที่รักษาการต่อไป
เสียงข้างมากแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
4 ตุลาการ (ปัญญา อุดชาชน, วิรุฬห์ แสงเทียน, จิรนิติ หะวานนท์, บรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์) เห็นว่าขาดคุณสมบัติทั้งสองมาตรา
2 ตุลาการ (อุดม สิทธิวิรัชธรรม, อุดม รัฐอมฤต) เห็นว่าขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (5)
ส่วนเสียงข้างน้อย 3 คน (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นภดล เทพพิทักษ์, สุเมธ รอยกุลเจริญ) เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืนจริยธรรม แต่ไม่ถึงขั้นร้ายแรง ความเป็นรัฐมนตรียังไม่สิ้นสุด
ศาลกำหนดให้ผลคำวินิจฉัยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 อันเป็นวันที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และเปิดให้คู่กรณีคัดถ่ายสำเนาคำวินิจฉัยได้ภายใน 15 วันนับแต่วันอ่านคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุใจความสำคัญว่า ศาลมีอำนาจรับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจากเป็นประเด็นตามรัฐธรรมนูญ มิใช่การก้าวล่วงตรวจสอบทางการเมืองระหว่างประเทศเหมือนที่เคยมีการศึกษากรณีต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐฯ และอังกฤษ แต่เป็นเรื่องการขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ประเด็นหลักที่ศาลยกขึ้นพิจารณา
การรับฟังพยานหลักฐาน – ศาลชี้ว่า “คลิปเสียงสนทนากับฮุนเซน” แม้ได้มาโดยไม่ชอบ แต่ผู้ถูกร้องยอมรับว่าเป็นเสียงตนเอง ไม่มีกฎหมายห้ามฟัง และไม่ได้ถูกขู่เข็ญหรือบังคับแต่อย่างใด จึงถือเป็นหลักฐานสำคัญ
มาตรฐานซื่อสัตย์สุจริต – รัฐธรรมนูญกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องแสดงความสุจริตโปร่งใสอย่างเป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้ว ศาลเห็นว่า การเจรจาแม้จะเป็นช่องทางส่วนตัว แต่มีเนื้อหาสำคัญด้านความมั่นคงชายแดน ซึ่งเป็นหน้าที่ในฐานะนายกฯ มิใช่ประชาชนทั่วไป
ผลประโยชน์ชาติ vs. ผลประโยชน์ส่วนตน – ศาลเห็นว่าการขอ “ให้ฮุนเซนเห็นใจ” และการเปิดช่องยอมรับข้อเรียกร้อง อาจสร้างความเคลือบแคลงว่าผู้ถูกร้องเอื้อประโยชน์แก่กัมพูชา เพื่อตอบสนองผลทางการเมืองของตน มากกว่าผลประโยชน์ชาติ
ศาลยังระบุว่า แม้ผู้ถูกร้องอ้างเจตนาเพื่อรักษาความสงบและป้องกันการปะทะ แต่พฤติการณ์ดังกล่าวลดทอนเกียรติภูมิของนายกรัฐมนตรีและไทยในเวทีนานาชาติ ถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง.


