posttoday

เปิดประมวลจริยธรรมนักการเมือง ศาลรธน.ใช้เป็นหลักชี้ชะตานายกฯ

29 สิงหาคม 2568

เปิดประมวลจริยธรรมนักการเมือง ศาลรธน.ใช้เป็นหลักวินิจฉัยปม“คลิปเสียงฮุนเซน”ชี้ชะตานายกฯแพทองธาร ซื่อสัตย์สุจริต ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญใช้ประมวลจริยธรรมนักการเมืองเป็นหลักในการวินิจฉัยสถานะนายกรัฐมนตรี กรณี ส.ว. ยื่นร้องเรียน
  • หลักการสำคัญที่ใช้พิจารณาคือ "ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์" และการไม่ "ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง"
  • หากศาลวินิจฉัยว่ามีความผิดจริง อาจส่งผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอาจถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

วันนี้ (29 ส.ค. 2568) เวลา 15.00 น. ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยชี้ชะตาความเป็นนายกรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หลังสมาชิกวุฒิสภา 36 คนเข้าชื่อร้องเรียน ปม คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่าย

“ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
“ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง”

ฐานกฎหมายรัฐธรรมนูญ

มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82

เปิดช่องให้ ส.ส. หรือ ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1/10 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย หากเห็นว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง

ในครั้งนี้ ส.ว. 36 คนได้ใช้สิทธิร้องเรียน

มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)

ระบุว่า “ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลง” หากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม

มาตรา 160 (4): ผู้ดำรงตำแหน่งต้องมี “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”

มาตรา 160 (5): ต้องไม่ “ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง”

สรุป: หากศาลเห็นว่าการสนทนากับผู้นำต่างชาติเป็นการขาดซื่อสัตย์สุจริตหรือเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรง → ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงทันที

ประเด็นหลักที่ใช้พิจารณา

1. “ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”

  • เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของนักการเมือง
  • ศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์และพยานหลักฐานว่ามีความโปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่เอื้อประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง

2. “มาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง”

อ้างอิง มาตรฐานจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219)

การกระทำร้ายแรง ได้แก่

  • ใช้อำนาจแสวงหาประโยชน์
  • ขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม
  • บ่อนทำลายความเชื่อมั่นในสถาบันการเมือง
  • แทรกแซงองค์กรอิสระหรือกระบวนการยุติธรรม

มาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

1. ที่มา

  • กำหนดโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ศาลสูง และองค์กรอิสระ
  • มีผลบังคับตาม ประกาศราชกิจจานุเบกษา
  • ครอบคลุมทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น และข้าราชการการเมือง

2. หลักการใหญ่

  • มาตรฐานทั่วไป: ต้องซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ยึดประโยชน์ส่วนรวม ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่ใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ตน
  • มาตรฐานเข้มข้น (กรณีร้ายแรง): ห้ามทำสิ่งที่บ่อนทำลายสถาบันการเมือง ทุจริตเชิงนโยบาย แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม หรือก้าวก่ายงานข้าราชการประจำ

3. ผลของการฝ่าฝืน

  • ผิดเล็กน้อย: ถูกตำหนิ ประณาม หรือตักเตือน
  • ผิดร้ายแรง: ศาลฎีกาฯ แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง พร้อมตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี หรือห้ามตลอดชีวิต

หากพบพฤติการณ์ทุจริต → ป.ป.ช. ดำเนินคดีอาญาได้

(คลิ๊กอ่าน) : ประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง (พ.ศ. 2564)

  • ยึดมั่นสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
  • ปฏิบัติหน้าที่ด้วยซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบ ไม่ใช้ตำแหน่งหาผลประโยชน์
  • ไม่รับสินบน ไม่บิดเบือนข้อมูล ไม่ก้าวก่ายงานราชการ
  • ยึดผลประโยชน์ชาติและประชาชนเหนือส่วนตน
  • เปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส รักษาความลับราชการ
  • ไม่เลือกปฏิบัติ ให้เกียรติประชาชน เคารพสิทธิความเป็นมนุษย์
  • รักษาภาพลักษณ์และจรรยาของนักการเมือง

บทสรุป

  • กลไกตาม มาตรา 170 วรรคสาม + มาตรา 82 เปิดช่องให้ ส.ว. 36 คนยื่นคำร้อง
  • ประเด็นพิจารณาอยู่ที่ “ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “การปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง”
  • หากศาลเห็นว่ามีมูล → ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดทันที พร้อมความเสี่ยงถูกตัดสิทธิการเมือง
  • กรณีนี้จึงกลายเป็นบททดสอบสำคัญของมาตรฐานจริยธรรมทางการเมืองไทย

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68