เผยมีประชาชนได้รับผลกระทบเหตุชายแดนกัมพูชาเกือบ 7.8 แสนคน
อัปเดตความคืบหน้าการดำเนินงานของรัฐบาล ตามมติ ครม. เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา เผยมีประชาชนได้รับผลกระทบ 2.6 แสนครัวเรือนเกือบ 7.8 แสนคน
KEY
POINTS
- รัฐบาลรายงานผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พบประชาชนเดือดร้อนประมาณ 779,000 คน ในพื้นที่ 7 จังหวัด และมีบ้านเรือนเสียหาย 705 หลัง
- มีการอนุมัติงบประมาณช่วยเหลือฉุกเฉินกว่า 201 ล้านบาท เพื่อใช้จ่ายเป็นค่าอาหาร ที่พักพิง ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ได้รับผลกระทบ
- รัฐบาลได้จัดส่งสิ่งของบรรเทาทุกข์กว่า 2 ล้านหน่วย เช่น อาหาร น้ำดื่ม และถุงยังชีพ พร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวสรุปการดำเนินงานของรัฐบาลและคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.ชี้แจงความคืบหน้าการดำเนินงานของรัฐบาล เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา
สำหรับประเด็นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ รัฐบาลกำลังดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศต่อผู้ที่กระทำผิด พร้อมกับเร่งเก็บกู้วัตถุระเบิด รวมถึงตรวจสอบการใช้โดรนที่ผิดปกติ และกำหนดพื้นที่ปลอดภัยเพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการบูรณาการร่วมกัน ของสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม เหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ มีรายงานสถานการณ์ล่าสุดจากกระทรวงมหาดไทยว่า ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นมา มีประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 7 จังหวัด 45 อำเภอ 336 ตำบล 4,081 หมู่บ้าน รวม 262,551 ครัวเรือน ประมาณ 779,000 คน โดยบ้านเรือนได้รับความเสียหาย 705 หลัง ซ่อมแซมแล้วเสร็จ 331 หลัง หรือคิดเป็น 46.95%
ทั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติใช้จ่ายเงินทดรองราชการ ไว้ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด รวมกว่า 201 ล้านบาท ครอบคลุมค่าอาหาร ค่าที่พักพิง ค่าซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ค่ารักษาพยาบาล และการจัดการศพ โดยจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรงบมากที่สุด ได้แก่ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์
ส่วนการเยียวยาผู้ประสบภัย มีการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ เยียวยาแล้ว รวม 17,675,559 บาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังสนับสนุนสิ่งของบรรเทาทุกข์ กว่า 2 ล้านหน่วย ทั้งอาหารกล่อง น้ำดื่ม ถุงยังชีพ และเครื่องนุ่งห่ม พร้อมส่ง เครื่องจักรกลสาธารณภัย เช่น รถกู้ภัย รถผลิตน้ำดื่ม และรถประกอบอาหาร ลงพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในพื้นที่


