"ดีเอสไอ" ใช้หลักฐานรฟท. เดินหน้าคลี่คลายคดีที่ดินเขากระโดง
ดีเอสไอ ใช้หลักฐานจากรฟท. ทั้งแผนที่ปี246 5ภาพถ่ายดาวเทียมสืบสวนกรณีพิพาทที่ดินเขากระโดง เตรียมพิจารณาเป็นคดีพิเศษแขยายผลฟอกเงิน
KEY
POINTS
- ดีเอสไอรับสืบสวนคดีพิพาทที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เนื้อที่กว่า 5,000 ไร่ โดยพิจารณาเป็นคดีฟอกเงินและเตรียมยกระดับเป็นคดีพิเศษ
- การสืบสวนใช้หลักฐานสำคัญจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยเฉพาะแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2464 เพื่อยืนยันแนวเขตที่ดิน
- ดีเอสไอเตรียมลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง เปรียบเทียบแผนที่กับภาพถ่ายดาวเทียม และรวบรวมหลักฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จากความคืบหน้าในกรณีที่ดินบริเวณเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งตกเป็นประเด็นพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินกว่า 5,000 ไร่ ล่าสุดมีการเคลื่อนไหวจากหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เร่งเดินหน้าสืบสวนข้อเท็จจริง หลังจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิการครอบครองที่ดินจำนวน 5,083 ไร่ และมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ดำเนินการรื้อถอนตามขั้นตอนทางกฎหมาย
พื้นที่ดังกล่าวครอบคลุมแปลงที่ดินจำนวนมาก โดยมีอย่างน้อย 12 แปลง รวมเนื้อที่ประมาณ 288 ไร่ ที่ปรากฏชื่อเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจของตระกูลชิดชอบ ซึ่งมีบุคคลในครอบครัวถือหุ้นอยู่ในบริษัทที่ครอบครองที่ดิน สถานการณ์นี้ทำให้พรรคภูมิใจไทยส่งตัวแทนฝ่ายกฎหมายออกมาแถลงคัดค้านคำสั่งของกระทรวงมหาดไทย โดยมีชาวบ้านที่อ้างสิทธิถือครองด้วยเอกสารสิทธิ์หลายรายเข้าร่วม ยืนยันว่าจะไม่ยินยอมออกจากพื้นที่ เพราะเชื่อว่าที่ดินได้มาโดยสุจริต
ด้านดีเอสไอ ซึ่งมีนายภูมิธรรมในฐานะรองนายกฯ นั่งเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้นำประเด็นการครอบครองที่ดินเขากระโดงเข้าพิจารณาในฐานะคดีฟอกเงิน และอยู่ระหว่างพิจารณายกระดับเป็นคดีพิเศษ โดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ รฟท. ส่งมอบ ซึ่งระบุว่ามีการครอบครองที่ดินมากถึง 995 แปลง รวมทั้งสิ้น 5,083 ไร่ ขณะเดียวกัน ยังมีหน่วยงานของรัฐอีก 12 แห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พิพาทนี้ด้วย
คณะพนักงานสืบสวนของดีเอสไอในเรื่องสืบสวนที่ 97/2568 ได้ประชุมเมื่อ 6 สิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินคดี โดยเริ่มจากการสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้อง การรวบรวมพยานหลักฐาน และการประสานขอเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมที่ดิน รฟท. และจังหวัดบุรีรัมย์
ต่อมาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้อำนวยการกองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบสืบสวนคดีนี้เป็นการเฉพาะ โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า รฟท. ได้แจ้งครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวต่ออำเภอเมืองบุรีรัมย์ไว้ตั้งแต่ 27 พฤษภาคม 2498 ด้วย ส.ค.1 เลขที่ 1180 รวมพื้นที่ประมาณ 5,083 ไร่
ข้อมูลที่สำคัญคือ ที่ดินนี้อยู่ภายใต้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตสร้างทางรถไฟ พ.ศ. 2464 ซึ่งถือเป็นการหวงห้ามโดยรัฐ และแม้ว่าภายหลังจะมีประชาชนบางรายเข้าไปแจ้ง ส.ค.1 ในพื้นที่เดียวกัน แต่ตามกฎหมายแล้ว การแจ้ง ส.ค.1 ไม่ได้เป็นการสร้างสิทธิใหม่ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีสิทธิในที่ดินมาก่อน พ.ร.ฎ. 2464 ก็จะไม่สามารถออกเอกสารสิทธิได้
ทั้งนี้ รฟท. เคยนำ ส.ค.1 ไปยื่นขอออกโฉนดที่ดินในปี 2530 ได้รับการรังวัดออกโฉนดเพียง 13 แปลง รวม 477 ไร่ ส่วนพื้นที่ที่เหลือยังอยู่ระหว่างรอการพิจารณาเนื่องจากมีปัญหาข้อกฎหมาย ทั้งนี้สำนักงานที่ดินจังหวัดได้มีการแนบหมายเหตุเตือนในสารบบที่ดินว่าเอกสารสิทธิดังกล่าวตั้งอยู่ในเขตที่ดินของ รฟท. และอาจถูกเพิกถอนหากไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ
นอกจากนี้ยังมีนิติบุคคลรายหนึ่งครอบครองที่ดินในเขตนี้มากกว่า 400 ไร่ ซึ่งหากพบว่ามีการได้มาซึ่งเอกสารสิทธิไม่ชอบ อาจเข้าข่ายความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน โดยเฉพาะหากเกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม และหากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวข้อง ก็จะถูกดำเนินคดีตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
รายงานข่าวจากดีเอสไอเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้รับแผนที่หลักฐานจาก รฟท. ครบถ้วนแล้ว รวมถึงแผนที่เก่าจากปี 2465 ซึ่งเป็นแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา โดยจะนำไปเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียมที่กรมฯ จัดทำขึ้นใหม่ในอัตราส่วนเดียวกัน เพื่อให้เห็นภาพพื้นที่จริงที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมระบุแนวเขตที่ดินของ รฟท. อย่างชัดเจน
ดีเอสไอเตรียมลงพื้นที่ตรวจสอบใน จ.บุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 19–22 สิงหาคมนี้ โดยจะเข้าพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และหน่วยงานราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ เพื่อเก็บข้อมูลและยืนยันข้อเท็จจริง
ด้านนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยความคืบหน้าการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินเขากระโดงว่า ยังต้องรอให้อธิบดีกรมที่ดินคนใหม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ก่อนจึงจะสามารถลงนามคำสั่งได้ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของอธิบดี อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่าที่ดินของหลวงต้องกลับมาเป็นของแผ่นดินให้ครบทุกตารางนิ้ว พร้อมเร่งออกเอกสารสิทธิให้กับประชาชนที่มีสิทธิ์โดยชอบต่อไป


