ศึกโผครม. วัดพลังขั้วการเมือง เขย่ารัฐบาล “แพทองธาร2”
การปรับ ครม.แพทองธาร2 ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนตัวบุคคล แต่คือการวัดพลังของกลุ่มอำนาจทั้งใน-นอกพรรค ที่จะชี้ทิศทางอำนาจของรัฐบาลชุดใหม่
โผ ครม. “วัดพลัง” ศึกขั้วอำนาจ เขย่าเก้าอี้ รมต. สะเทือนทั้งใน-นอกพรรคร่วม!
กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำลังเป็นที่จับตาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะเมื่อประเด็น “การจัดโผ” กลายเป็นมากกว่าแค่การแต่งตั้งบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง หากแต่เป็น “สนามวัดพลัง” ของกลุ่มการเมือง กระบวนการต่อรอง และยุทธศาสตร์เชิงอำนาจที่ส่งแรงกระเพื่อมทั้งภายในพรรคเพื่อไทย พรรคร่วมรัฐบาล และกลุ่มการเมืองภายนอก โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของรัฐบาลแพทองธาร 2 ที่ต้องเผชิญแรงต้านจากหลายทิศทาง
1. กลาโหมในมือพลเรือน? วัดใจเพื่อไทย-กองทัพ
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ คือ “เก้าอี้กลาโหม” ซึ่งเดิมเป็นตำแหน่งเชิงสัญลักษณ์ของการประสานระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพ กลับมีสัญญาณว่าเพื่อไทยอาจเปิดทางให้ “ทหาร” ก้าวขึ้นมาคุมกระทรวงนี้เต็มตัว หากเป็นจริง ถือเป็นการพลิกดุลอำนาจเชิงสถาบัน และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มบทบาททหารในการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
2. สมดุลภายในเพื่อไทย: เกมวางตัวเพื่อสร้างเสถียรภาพ
การปรับ ครม. ครั้งนี้ยังสะท้อนความพยายามในการรักษาสมดุลระหว่าง “สายการเมืองเก่า” กับ “กลุ่มใหม่” ที่นายกรัฐมนตรีแพทองธารต้องจัดวางให้ลงตัว ทั้งในเชิงอำนาจและความคาดหวังของพรรคร่วม เพื่อให้กลไกรัฐบาลสามารถเดินหน้าได้โดยไร้แรงต้านจากภายใน
3. กระทรวงศึกษาฯ: คนรุ่นใหม่ท้าทายระบบเก่า
กระทรวงศึกษาธิการกลายเป็นเวทีสำคัญของการวัดพลังระหว่าง “นักการเมืองสายอนุรักษ์นิยม” กับ “กลุ่มใหม่” ที่เสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษาแบบก้าวกระโดด โดยมีชื่อของนักวิชาการรุ่นใหม่ที่มีสายสัมพันธ์กับตระกูลการเมืองใหญ่ เป็นตัวเต็งนั่ง รมว. หากเปลี่ยนมือสำเร็จ จะสะท้อนถึงความตั้งใจในการยกระดับนโยบายการศึกษาจากฐานราก
4. ศึกในพรรครวมไทยสร้างชาติ: แตกเป็น 4 ก๊วน
พรรครวมไทยสร้างชาติแตกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ แบ่งย่อยเป็น 4 ก๊วน โดยเฉพาะกลุ่ม ส.ส. 18 คน ที่แสดงจุดยืนหนุนรัฐบาล ต่างจากสายแกนนำเดิมที่ยังคลุมเครือ การแยกขั้วในลักษณะนี้ทำให้โควตารัฐมนตรีของพรรคมีความไม่แน่นอน และเปิดช่องให้เกิดการโยกย้ายอำนาจภายในพรรค
5. ชาติไทยพัฒนา: ดวลภายใน “สะสมทรัพย์” ปะทะ “ประภัตร”
พรรคชาติไทยพัฒนา กำลังเผชิญศึกชิงตำแหน่ง รมช. ระหว่าง 2 กลุ่มภายในคือ สาย “สะสมทรัพย์” กับสาย “ประภัตร” ซึ่งต่างมีฐานการเมืองและอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลาง การต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งนี้อาจกำหนดอนาคตทางการเมืองของทั้งสองกลุ่ม
6. สุวัจน์: ตัวแปรสำคัญที่ทักษิณวางใจ
ชื่อ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ประธานพรรคชาติพัฒนา ถูกจับตาในฐานะบุคคลที่นายทักษิณไว้วางใจ และอาจได้มอบหมายให้ดูแล 1 กระทรวง ในตำแหน่งระดับรัฐมนตรีเต็มตัวใน ครม. ความสัมพันธ์นี้สะท้อนการฟื้นฟูเครือข่ายทางการเมืองของกลุ่มอดีตแกนนำไทยรักไทยที่ยังคงมีบทบาทอยู่เบื้องหลังการจัดโผ
7. กล้าธรรม-อ.แหม่ม: พรรคเล็กแต่ต่อรองใหญ่
การขยับของ “อ.แหม่ม” จากพรรคกล้าธรรม เข้าสู่กระทรวงเกษตรฯ อย่าง “เบ็ดเสร็จเด็ดขาด” สะท้อนพลังต่อรองของพรรคเล็กที่สามารถแทรกตัวเข้าสู่กระทรวงระดับเศรษฐกิจได้สำเร็จ การจัดวางนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนแรงต่อรองของพรรคเล็กเท่านั้น แต่ยังอาจเปลี่ยนเกมอำนาจในพื้นที่เกษตรกรรมซึ่งมีฐานเสียงสำคัญทั่วประเทศ
บทสรุป: มากกว่า "โผ ครม." คือสนามประลองอำนาจ
การปรับ ครม. ครั้งนี้ คือ "การจัดตำแหน่งเพื่อสร้างอำนาจ" ไม่ใช่แค่เปลี่ยนคนใหม่เข้าสู่ตำแหน่งเก่า แต่เป็นยุทธศาสตร์การวัดพลังของกลุ่มการเมือง เครือข่าย และผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง การเปลี่ยนแปลงในแต่ละกระทรวงไม่เพียงแต่สะท้อนดุลอำนาจในปัจจุบัน แต่ยังเป็นตัวชี้วัดถึงทิศทางทางการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมของรัฐบาลก่อนเข้าสู่ปีงบประมาณใหม่ และศึกเลือกตั้งระดับท้องถิ่นและชาติที่รออยู่เบื้องหน้า
นี่ไม่ใช่แค่ “โผ ครม.” แต่คือสมรภูมิแห่ง “พลัง” ที่กำลังขยับตัว.
ที่มาเนื้อหาประกอบรายงาน เนชั่นอินไซต์


