จับตาหลัง13มิ.ย.68ปรับครม.เขย่าเกมการเมืองเตรียมเลือกตั้ง?
นายกฯแพทองธาร ยอมรับกำลังพิจารณาปรับ ครม. สัญญาณสำคัญเตรียมการเลือกตั้ง ชี้เดือนมิถุนายนมีหลายวาระสำคัญ ศาล รธน. และ DSI คือตัวแปรสำคัญ
ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่โหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งนายกรัฐมนตรีเองก็ยอมรับว่ากำลังพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง การเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งสำคัญนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดสรรอำนาจภายในรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังถูกจับตามองอย่างกว้างขวางว่าเป็นการส่งสัญญาณสำคัญที่อาจนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนด และจะเป็นตัวกำหนดทิศทางภูมิทัศน์การเมืองไทยในอนาคตอันใกล้
เกมปรับ ครม. และเดิมพันทางการเมือง
การปรับคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องปกติในทุกรัฐบาล แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่รัฐบาลผสมยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องประชาชน และแรงเสียดทานทางการเมือง การปรับ ครม. ครั้งนี้จึงมีความหมายมากกว่าแค่การ "เปลี่ยนตัวผู้เล่น" แต่มันคือการปรับจูนยุทธศาสตร์ การวางหมากทางการเมืองครั้งสำคัญเพื่อรับมือกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป และเตรียมพร้อมสำหรับการช่วงชิงอำนาจในศึกเลือกตั้งครั้งหน้า
การปรับ ครม. ในช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นการส่งสัญญาณถึงความต้องการของแกนนำรัฐบาลที่จะ "รีเซ็ต" หรือ "เสริมทัพ" ความสามารถในการบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่นจากประชาชน ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็นที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินนโยบายบางอย่างที่ยังไม่เห็นผลชัดเจน หรือปัญหาภายในที่อาจบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาล
ปฏิทินเดือนมิถุนายน: วาระร้อนที่ต้องจับตา
เดือนมิถุนายนนี้ อบอวลไปด้วยบรรยากาศความคึกคักทางการเมืองและวาระสำคัญหลายอย่างที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งแต่ละประเด็นล้วนมีผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมต่อการตัดสินใจปรับ ครม. และสถานการณ์การเมืองโดยรวม
การประชุมของแพทยสภา แม้จะดูเป็นเรื่องภายในองค์กรวิชาชีพ แต่หากมีประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณสุขหรือการบริหารงานของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ก็อาจกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ถูกนำมาพิจารณาในการปรับตำแหน่งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้
ศาลรัฐธรรมนูญ นี่คือศูนย์กลางการตัดสินชะตาทางการเมืองหลายกรณี คำวินิจฉัยในคดีสำคัญที่รออยู่ อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างกะทันหัน หรือเปิดทางให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น
JBC (คณะกรรมการเขตแดนร่วม) การประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเด็นเขตแดนระหว่างประเทศมักมีความอ่อนไหวสูง ผลลัพธ์ของการประชุม JBC อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้มีการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือการต่างประเทศ
กรมสอบสวนคดีพิเศษ กับคดีสมรู้ร่วมคิดฮั้วเลือกสว. ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ DSI คาดว่าจะมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับข้อกล่าวหาการสมรู้ร่วมคิดในการเลือกฮั้วสว. ซึ่งเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเชื่อมโยงกับความโปร่งใสทางการเมือง หากการดำเนินการของ DSI มีความคืบหน้าหรือมีผลกระทบต่อบุคคลสำคัญ ก็อาจเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่ส่งผลต่อการปรับ ครม. ได้เช่นกัน
วาระสำคัญเหล่านี้เปรียบเสมือนหมากแต่ละตัวบนกระดาน ที่ผู้เล่นจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะเดินเกมปรับ ครม. เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและพรรคการเมือง
โผ ครม. หลัง 13 มิถุนายน: ใครจะได้ ใครจะไป?
การปรับ ครม. มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนภายหลังวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประเด็นสำคัญหลายอย่างเริ่มคลี่คลายหรือมีความชัดเจนมากขึ้น การคาดการณ์เกี่ยวกับตำแหน่งรัฐมนตรีที่จะได้รับผลกระทบจึงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง โดยมีปัจจัยหลักๆ ที่ถูกนำมาพิจารณาคือ:
ผลงานและความพึงพอใจของแกนนำ รัฐมนตรีที่มีผลงานโดดเด่นและสามารถตอบสนองนโยบายของรัฐบาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมมีโอกาสรักษาเก้าอี้ไว้ได้ หรืออาจได้รับการขยับขึ้นสู่ตำแหน่งที่สำคัญยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ผู้ที่มีผลงานไม่เข้าเป้าหรือมีประเด็นให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ อาจถูกปรับออกจากตำแหน่ง
โควตาทางการเมือง การปรับ ครม. ยังเป็นเครื่องมือในการปรับสมดุลโควตาระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อรักษาเสถียรภาพและความเป็นเอกภาพของรัฐบาลผสม
กระแสสังคมและภาพลักษณ์ ในยุคที่โซเชียลมีเดียมีอิทธิพลอย่างสูง การที่รัฐมนตรีคนใดตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หรือมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี อาจทำให้แกนนำรัฐบาลต้องพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยน เพื่อลดแรงกดดันและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นให้กับรัฐบาลโดยรวม
มีรายงานที่น่าสนใจเกี่ยวกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเพื่อไทย ยังคงแสดงความมั่นใจว่า พรรคภูมิใจไทย จะยังคงเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นและจะไม่ถอนตัวออกจากรัฐบาลผสม
ถึงแม้จะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่า พรรคภูมิใจไทยอาจมีความต้องการที่จะได้ดูแล กระทรวงพลังงาน หากมีการโยกย้ายจากกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นกระทรวงหลักที่ดูแลอยู่ในปัจจุบัน ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนถึงการเจรจาต่อรองและจัดสรรผลประโยชน์ภายในพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น
นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงในพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งแต่ละพรรคต่างก็มีเป้าหมายและยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตนเอง การปรับ ครม. ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสในการปรับจูนความสัมพันธ์ภายในพรรคร่วมรัฐบาล และอาจส่งผลต่อการจัดสรรอำนาจในระยะยาว
เป้าหมายสูงสุด: เตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า
ไม่ว่าโผ ครม. จะออกมาในรูปแบบใด เป้าหมายโดยรวมของการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้มีความชัดเจนคือ การเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป และการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของรัฐบาล
เสริมประสิทธิภาพการบริหาร: การปรับ ครม. ที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนนโยบายที่สำคัญให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ตอบสนองความต้องการของประชาชน และสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์
สร้างความเชื่อมั่น: การมีทีม ครม. ที่แข็งแกร่งและได้รับการยอมรับ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นักลงทุน และต่างชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
วางฐานเสียงและยุทธศาสตร์เลือกตั้ง: การปรับ ครม. ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการวางตัวบุคคลในตำแหน่งสำคัญ เพื่อสร้างฐานเสียงและเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ทั้งในระดับประเทศและระดับเขตเลือกตั้ง
ลดแรงเสียดทานและสร้างเอกภาพ: การปรับ ครม. อาจเป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล หรือลดแรงเสียดทานจากกลุ่มต่างๆ เพื่อสร้างเอกภาพและความมั่นคงให้กับรัฐบาล
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีเดิมพันสูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทิศทางและอนาคตของการเมืองไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทุกสายตาจึงจับจ้องไปยังความเคลื่อนไหวหลังวันที่ 13 มิถุนายนนี้อย่างใจจดใจจ่อ ว่าหมากตัวต่อไปของรัฐบาลและพรรคการเมืองจะเป็นอย่างไร และใครจะเป็นผู้กุมความได้เปรียบในเกมการเมืองที่กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ.
ที่มาประกอบเนื้อหารายงาน เนชั่นอินไซต์


