ศาล แจง ไม่มีอำนาจ สั่ง 'ยิ่งลักษณ์' ชดใช้หมื่นล้าน "คดีจำนำข้าว"
"ศาลปกครอง" แจง ไม่มีอำนาจ สั่ง "ยิ่งลักษณ์" ชดใช้หมื่นล้าน "คดีจำนำข้าว" แค่พิพากษาเพิกถอนคำสั่งเดิมบางส่วน
ศาลปกครอง เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์เรื่อง ข้อกฎหมายคดีฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน โครงการรับจำนำข้าวเปลือก
โดยมีเนื้อหาระบุว่า สำนักงานศาลปกครองขอชี้แจงข้อกฎหมายในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีหมายเลขแดงที่ อผ.160-163/2568 ระหว่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้ฟ้องคดีที่ 1 และ นายอนุสรณ์ อมรฉัตร ผู้ฟ้องคดีที่ 2 และนายกรัฐมนตรี กับพวกรวม 9 คน (สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ) ผู้ถูกฟ้องคดี ดังนี้
1. คดีในส่วนของผู้ฟ้องคดีที่ 1 นั้น มีมูลเหตุมาจากกรณีที่มีคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 1351/2559 ลงวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ให้ผู้ ฟ้องคดีที่1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงิน 35,717,273,028.23 บาท อันเป็นคำสั่งทางปกครองที่ ให้ชำระเงิน
หากผู้ฟ้องคดีที่ 1 ไม่ชำระ กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีอำนาจใช้มาตรการบังคับทางปกครอง โดยยึดหรืออายัด ทรัพย์สินของผู้ฟ้องคดีที่ 1 และขายทอดตลาดเพื่อชำระเงินตามคำสั่งได้ โดยไม่จำต้องฟ้องคดีต่อศาล
ทั้งนี้ ตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่ใช้บังคับอยู่เดิม และมาตรา 63/7 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวที่แก้ไขใหม่ เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ 1 เห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องคดีต่อศาลปกครอง โดยมีคำขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
คดีในส่วนนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับ การที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลปกครอง มีอำนาจเพียงพิพากษาเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน ทั้งนี้ ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
โดยศาลไม่มีอำนาจพิพากษาให้คู่กรณีฝ่ายผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งคดีนี้ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า คำสั่งพิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายบางส่วน จึงมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งพิพาท
เฉพาะส่วนที่ให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเกินกว่าจำนวน 10,028,861,880.83 บาท โดยศาลปกครองสูงสุดไม่ได้มีคำพิพากษาและออกคำบังคับให้ผู้ฟ้องคดีที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งเก้าแต่อย่างใด
2. คดีนี้ศาลปกครองสูงสุดนั่งพิจารณาคดี เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2566 โดยตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่นั่งพิจารณาได้ลงลายมือชื่อในร่างคำพิพากษาครบทั้งห้าคนเรียบร้อยแล้ว ต่อมาประธานศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งให้นำคดีเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด
ในการประชุมใหญ่นั้น จะประกอบด้วยตุลาการศาลปกครองสูงสุดทุกคนที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ที่พ้นจากราชการไปแล้วจึงไม่อาจเข้าร่วมประชุมใหญ่ได้
ทั้งนี้ คำวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ จะเป็นไปตามเสียงข้างมากของที่ประชุม ต่อมา เมื่อมีการจัดทำคำพิพากษาตามมติของที่ประชุมใหญ่แล้ว ตุลาการในองค์คณะ สองคนที่พ้นจากราชการไปแล้วจึงไม่อาจลงลายมือชื่อในคำพิพากษาได้
ประธานศาลปกครองสูงสุดได้มี บันทึกกรณีตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีเหตุจำเป็นไม่อาจลงลายมือชื่อได้ไว้ในคำพิพากษาแล้ว
ทั้งนี้การดำเนินกระบวนพิจารณาและจัดทำคำพิพากษาดังกล่าวเป็นไปตามมาตรา 68 และมาตรา 69 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
3.ส่วนการทำความเห็นแย้งนั้น ตุลาการศาลปกครองสูงสุดทุกคนในที่ประชุมใหญ่มีสิทธิทำความเห็นแย้ง ได้ตามมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยปรากฏความเห็นแย้งและรายชื่อของตุลาการที่มี ความเห็นแย้งอยู่ในคำพิพากษาแล้ว


