posttoday

มรสุมโหมกระหน่ำการเมืองสัญญาณอันตรายดังขึ้นกับอนาคตไม่แน่นอน

14 พฤษภาคม 2568

ความขัดแย้งของพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลแพทองธาร จุดไฟความร้อนแรงทางการเมือง สัญญาณเตือนกำลังก่อตัว ส่งผลต่ออนาคตอยู่ในภาวะไม่แน่นอน

ฉากแรกเปิดขึ้นด้วยประเด็นร้อนแรงที่พุ่งเป้าไปที่อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร กรณีของแพทยสภาที่ออกมาแถลงการณ์ รวมถึงการที่ศาลฎีกาตัดสินใจไต่สวนคดีมาตรา 112 ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรื่องธรรมดา แต่เป็นประกายไฟที่จุดชนวนให้หลายฝ่ายต้องหันมาจับตา นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เรารู้สึกได้ว่า พื้นดินใต้ภูเขาไฟทางการเมืองกำลังสั่นสะเทือน

เมื่อมองลึกลงไปในสมรภูมิพรรคการเมือง เราเห็นภาพการแบ่งขั้วที่ชัดเจนขึ้น ดุจสามสีหลักที่กำลังช่วงชิงพื้นที่บนเวที สีส้ม สีน้ำเงิน และสีแดง แต่ละสีต่างมีเส้นทางการเดินที่ซับซ้อน เส้นทางระหว่างสีส้มกับสีแดงนั้นดูเหมือนจะห่างเหินกันออกไปเรื่อยๆ ทว่า สิ่งที่น่าจับตาคือการที่สีส้มกับสีน้ำเงินกลับมีแนวโน้มที่จะขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น ส่วนสีแดงนั้น หลังจากก้าวข้ามเส้นแบ่งจากสีส้มมาร่วมมือกับอีกขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาล กลับต้องมาเผชิญหน้ากับความขัดแย้งดุเดือดกับสีน้ำเงิน ซึ่งนักสังเกตการณ์ต่างมองว่าเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่ง
 

แต่เรื่องราวไม่ได้หยุดอยู่แค่ความสัมพันธ์ของพรรคต่างๆ ปัญหาที่ค้างคาดุจบาดแผลเรื้อรังในระบบการเมืองก็ยังคงเป็นเงื่อนไขสำคัญ การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกขัดขวางมาตั้งแต่ต้นโดยพรรคสีน้ำเงิน ประเด็น Entertainment Complex ที่ดูเหมือนจะมีความเห็นที่เหลื่อมล้ำกันในพรรคสีน้ำเงินเอง หรือแม้แต่เรื่องการพิจารณาพนันออนไลน์ถูกกฎหมายที่ยังคงไร้ความคืบหน้า ปัญหาเหล่านี้เปรียบเสมือนก้อนหินที่ถ่วงความเจริญ และสร้างความอึดอัดในบรรยากาศทางการเมือง

และแล้ว สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นสำหรับผู้เล่นหลักแต่ละราย สำหรับพรรคสีแดง สัญญาณนั้นมาในหลายรูปแบบ ทั้งจากกรณีแพทยสภา การที่ศาลไม่อนุญาตให้นายทักษิณเดินทางออกนอกประเทศ การที่รัฐมนตรีถูกตรวจสอบจริยธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลนัดสืบพยานคดี ม.112 ของนายทักษิณ และศาลฎีกาเข้ามาไต่สวนเอง นี่คือช่วงเวลาแห่งความท้าทายที่พรรคสีแดงต้องเผชิญ
 

ส่วน พรรคสีน้ำเงิน เองก็ไม่ได้ปลอดภัยจากมรสุมนี้ พวกเขาถูกมองว่ากำลังเผชิญกับการ "ลุก ลุย ล้าง" จากพรรคสีแดง และเป้าหมายสำคัญดูเหมือนจะอยู่ที่ สว. ซึ่งหากไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ ก็อาจนำไปสู่จุดจบที่เลวร้ายที่สุดอย่างการยุบพรรคได้

เรื่องราวแห่งความท้าทายนี้ยังส่งสัญญาณตรงไปถึงหัวเรือของรัฐบาลอย่างนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา นโยบายหลักที่ยังไม่เห็นผลเป็นรูปธรรม ปรากฏการณ์ข้าราชการเกียร์ว่างที่ทำให้กลไกภาครัฐไม่ขับเคลื่อน ทั้งหมดนี้กำลังบั่นทอนบารมีและความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีอย่างเงียบๆ สัญญาณเหล่านี้บอกเราว่า นายกรัฐมนตรีกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากังวล

และเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ คำถามสำคัญมากมายก็ผุดขึ้นในใจผู้ชม จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งใหญ่เพื่อพลิกเกมหรือไม่? นายกรัฐมนตรีจะกำหนดทิศทางของรัฐบาลอย่างไรในท่ามกลางมรสุมนี้? หรือท้ายที่สุดแล้ว จุดจบของเรื่องราวนี้จะนำไปสู่การยุบสภาครั้งใหม่?

เรื่องราวความไม่แน่นอนนี้ยังคงดำเนินต่อไป ทิ้งไว้เพียงคำถามและสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ในแวดวงการเมืองไทย.

ที่มาประกอบเนื้อหาข่าว เนชั่นอินไซต์