“โมเดลสิงคโปร์” วัดพลังรัฐบาล ดันเอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์
“โมเดลสิงคโปร์” กับเดิมพันใหญ่ของรัฐบาล ขับเคลื่อนเอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ท่ามกลางแรงเสียดทานทางการเมือง ระหว่างพรรคสีแดงและสีน้ำเงิน
ในห้วงเวลาที่ประเทศไทยต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่ถาโถม รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้หยิบยก “วาระร้อน” อย่างการพัฒนา เอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ขึ้นมาเป็นยุทธศาสตร์หลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง “เงินใหม่” ให้กับประเทศ ผ่านการดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนและต่างชาติ โดยวางต้นแบบจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งสามารถผสานการมีอยู่ของกาสิโนเข้ากับระบบเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ใช่แค่ “กาสิโน” แต่คืออีโคซิสเต็มของการท่องเที่ยวและบันเทิง
ในการออกอากาศรายการ “โอกาสไทยกับนายกฯแพทองธาร” ทางสถานี NBT เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายกฯ ได้กล่าวถึงโครงการเอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ว่า ไม่ใช่การมุ่งเน้นเฉพาะกาสิโน แต่เป็นการออกแบบให้เป็น “คอมเพล็กซ์ครบวงจร” ซึ่งประกอบไปด้วยสถานที่จัดงานระดับนานาชาติ โรงแรมระดับโลก สถานที่จัดคอนเสิร์ต รวมถึงกาสิโนที่มีมาตรฐานสากล
ที่สำคัญ นายกฯ เน้นว่าเงินลงทุนที่จะใช้ในการก่อสร้างและดำเนินการคอมเพล็กซ์นี้จะมาจากภาคเอกชน ไม่ใช่เงินภาษีของประชาชน นั่นหมายความว่า รัฐสามารถเก็บรายได้ในรูปแบบภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยไม่ต้องเพิ่มภาระให้กับประชาชน
“เราต้องมองให้กว้าง อย่ามองแค่ ‘กาสิโน’ แต่ต้องมองว่าในโลกปัจจุบัน ประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากได้เดินหน้าไปในเทรนด์นี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น หรือแม้แต่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” แพทองธารกล่าว
แรงเสียดทานจาก “พันธมิตรการเมือง” และเงื่อนไขต่อรองใต้โต๊ะ
แม้รัฐบาลจะแสดงความมุ่งมั่นเต็มที่ แต่การผลักดันโครงการนี้กลับต้องเผชิญกับแรงเสียดทานภายใน โดยเฉพาะจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมี ส.ส.ไชยชนก ชิดชอบ ออกมาแสดงจุดยืนกลางสภาว่า “จะไม่มีวันเห็นด้วยกับกาสิโน” แม้ภายหลังพรรคจะออกมายืนยันว่าเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ไม่ใช่มติพรรคก็ตาม
ทว่าในทางการเมือง การแสดงจุดยืนดังกล่าวของไชยชนก ซึ่งเป็นบุตรของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้นำทางความคิดของกลุ่ม “สีน้ำเงิน” กลับถูกมองว่าเป็นการเดินเกมต่อรองที่แยบยล ซึ่งอาจโยงใยกับกลุ่มอนุรักษนิยม และขั้วอำนาจนอกสภา หรือที่มักถูกเรียกว่า “รัฐพันลึก” ที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของวุฒิสภาและกระบวนการยุติธรรม
ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่าย “สีน้ำเงิน” ยังมีความเคลื่อนไหวผ่านวุฒิสภา โดยมีการตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาการจัดตั้งเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งมี “หมอวี” วีระพันธ์ สุวรรณนามัย ส.ว. เป็นประธาน แสดงให้เห็นว่าฝ่ายนี้กำลังสร้างพื้นที่ต่อรองเชิงนโยบายอย่างเป็นระบบ
ผลโพลสะท้อนความแตกแยกในสังคม
ผลสำรวจจาก “นิด้าโพล” เมื่อวันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า ความคิดเห็นของประชาชนยังแตกออกเป็นหลายกลุ่ม โดยในประเด็นว่า หากร่างกฎหมายเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ไม่มีการอนุญาตให้มี “กาสิโน” จะสามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาหรือไม่ พบว่า:
46.18% เชื่อว่า “ไม่ผ่าน”
32.67% เชื่อว่า “ผ่าน”
19.01% เห็นว่า “เป็นไปไม่ได้” ที่จะเสนอร่างกฎหมายโดยไม่มี “กาสิโน”
อีกคำถามที่น่าสนใจคือ ประชาชนคิดเห็นอย่างไรต่อท่าทีของไชยชนกที่คัดค้านกาสิโน:
35.80% เห็นว่า “ถูกต้อง”
29.08% มองว่าเป็นเกมการเมืองของพรรคภูมิใจไทย
27.63% เห็นว่าเป็นความเห็นส่วนตัว
22.44% มองว่าเป็นการเล่นตามกระแส แต่สุดท้ายก็ต้องทำตามมติพรรค
เสียงในสภาล่างและเดิมพันในวุฒิสภา
ในแง่ของเสียงสนับสนุน รัฐบาลปัจจุบันมีเสียงในมือกว่า 323 เสียง แม้จะหักพรรคประชาชาติออก (ที่อ้างเหตุผลด้านศาสนา) ก็ยังคงมีเสียงเหลือเฟือในการผลักดันร่างกฎหมายให้ผ่านในวาระแรกของสภาผู้แทนราษฎร
อย่างไรก็ตาม “ด่านสำคัญ” อยู่ที่วุฒิสภา ซึ่งแม้จะไม่มีอำนาจยับยั้งเด็ดขาด แต่ก็มีอิทธิพลต่อทิศทางการเจรจาในช่วงสุดท้าย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่กลุ่ม ส.ว. “สีน้ำเงิน” กำลังเผชิญข้อกล่าวหาหนักจาก DSI ในหลายคดี รวมถึงคดีฟอกเงิน และการกระทำในลักษณะ “อั้งยี่ซ่องโจร” ซึ่งอาจถูกใช้เป็น “เงื่อนไขต่อรอง” ในเกมการเมืองที่กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมพันของแพทองธาร และเงื่อนไขสุดท้ายของ “เอนเทอร์เทนเมนต์โมเดล”
ด้วยเส้นตายสำคัญที่ร่างกฎหมายนี้จะเข้าสู่การพิจารณาในวันที่ 3 กรกฎาคม เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ แพทองธารได้เริ่มเดินเกมรุกผ่าน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย โดยสั่งการให้ลงพื้นที่พบปะประชาชน อธิบายความแตกต่างระหว่าง “เอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” กับ “กาสิโน” หวังลดแรงต่อต้านจากกลุ่มอนุรักษนิยม และสร้างความเข้าใจในเชิงเศรษฐกิจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
ท้ายที่สุด โครงการนี้จะผ่านหรือไม่ อาจไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาของกฎหมายเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ความเชื่อใจ” ในหมากการเมืองที่ฝ่ายต่าง ๆ เล่นกันอยู่ใต้โต๊ะ และความสามารถของรัฐบาลในการสร้างฉันทามติให้เกิดขึ้นในสังคม
ประเทศไทยจะเดินหน้าไปสู่โมเดลใหม่แบบสิงคโปร์ หรือจะต้องถอยกลับเพราะแรงต้านแบบเดิม ๆ ยังเป็นคำถามใหญ่ที่ต้องรอคำตอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
อ้างอิงข้อมูล: กรุงเทพธุรกิจ


