posttoday

เสียงปี่ เสียงกลอง

30 มกราคม 2554

บางทีการเมืองไทยอาจจะต้องลากถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้อีกนาน คือลากไปทั้งหัวถลอกเกรียนๆ ตัวมีกลากเกลื้อนเป็นตะปุ่มตะป่ำ และหางสีแดงๆ นี้ไปด้วยกัน...

บางทีการเมืองไทยอาจจะต้องลากถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้อีกนาน คือลากไปทั้งหัวถลอกเกรียนๆ ตัวมีกลากเกลื้อนเป็นตะปุ่มตะป่ำ และหางสีแดงๆ นี้ไปด้วยกัน...

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

“อี๊ แอ แอ แอ่ แอ่ แอ แอ อี...”
“ป๊ะ โท่น ป๊ะ ปะ ป๊ะ โท่น ป๊ะ...”

คือเสียงปี่และกลองที่ประกอบใน|การชกมวยหรือฟันดาบไทย (กระบี่กระบอง) ในทำนองเพลง “สะระหม่า” (ความจริงคือเพลงแขกเจ้าเซ็น) ที่ใช้เครื่องดนตรีแค่ 3 ชิ้น คือ ปี่ กลอง และฉิ่ง ซึ่งบางทีก็เรียกวงดนตรีแบบที่เล็กที่สุดนี้ว่า “วงสะระหม่า”

ธรรมเนียมการต่อสู้ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการชกมวยหรือฟันดาบ ต้องเริ่มต้นด้วยการไหว้ครูด้วยเพลงสะระหม่าที่จังหวะช้าๆ แต่มีพลังคึกคัก สำหรับมวยไทยนั้นในยกที่ 4 และ 5 จะมีการเร่งจังหวะขึ้นในเพลงเชิดฉิ่ง ที่นักดนตรีจะรัวฉิ่งถี่ยิบพร้อมกลองแขกที่ตีจังหวะเร่งเร้าอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ในขณะที่เสียงปี่จะเงียบไป เพราะต้องการจะส่งสัญญาณให้นักมวยรีบทำคะแนนเพื่อชัยชนะนั้นเสีย หรือถ้าคะแนนยังตามอยู่ก็จะได้รีบต่อยและเตะเก็บคะแนนเอาชนะให้ได้

ในทางการเมือง “การเลือกตั้ง” คือเสียงปี่เสียงกลองที่ว่า ครั้นพอประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งขึ้นครั้งใด คนที่เป็นนักการเมืองก็จะตื่นตัว มีอาการหูผึ่งเพื่อติดตามข่าวสารรายละเอียดของการเลือกตั้ง เนื้อตัวมันซู่ซ่าร้อนรุ่มอยากจะออกหาเสียงในทันที ในลำคอแห้งผากด้วยกระหายที่จะดื่มด่ำบรรยากาศของการหาเสียง มีอาการกระวนกระวายไม่อยู่สุข เหมือนคนไม่ได้เสพยาหรืออดสุรามาได้สักระยะกระนั้น

ใน พ.ศ. 2489 บรรยากาศทางการเมืองไทยเปิดกว้างอย่างเต็มที่ในเรื่องการเลือกตั้ง (เนื่องจากก่อนหน้านี้แม้จะมีการเลือกตั้งก็เป็นการเลือกตั้งทางอ้อมตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 และไม่เปิดให้มีพรรคการเมืองอื่นนอกจากคณะราษฎรหรือคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง) เพราะรัฐธรรมนูญที่เพิ่งประกาศใช้ใน พ.ศ. นั้น เปิดโอกาสให้มีการตั้งพรรคการเมืองพร้อมด้วยการให้เสรีภาพในการหาเสียงแบบที่มีอยู่ในเมืองนอกอย่างเต็มที่

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช กับพวกได้ตั้งพรรคก้าวหน้าขึ้นเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกของไทยในปีนั้น แต่ต่อมาก็ได้ไปรวมเข้ากับพรรคประชาธิปัตย์เพื่อที่จะจับขั้วกันต่อสู้กับกลุ่มการเมืองอีกพวกหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาหนุนหลวงประดิษฐ์มนูธรรม น่าเสียดายที่ระบบสองพรรคจากการแบ่งขั้วในครั้งนั้นไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้เนื่องจากมีการรัฐประหารในปีต่อมา

เสียงปี่ เสียงกลอง

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2489 ก็มีความเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง มีการเดินไปตามตรอกซอกซอยและชุมชนต่างๆ เพื่อ “เคาะประตูบ้าน” อันเป็นเทคนิคในการหาเสียงแบบถึงเนื้อถึงตัว ในขณะเดียวกันก็มีการตั้งเวทีปราศรัยซึ่งตอนนั้นก็ใช้วิธีการเดียวกันกับฝรั่ง คือเพียงแค่หาลังไม้หรือโต๊ะเก้าอี้มาต่อกันเป็นเวทีแล้วขึ้นพูดหาเสียง ซึ่งก็สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้คนที่ผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี จนเมื่อจำนวนผู้ฟังมีมากขึ้นจึงได้มีการต่อเวทีบนหลังคารถอย่างที่เป็นความนิยมในสมัยหลังๆ
สภาใน พ.ศ. 2489

แม้จะอยู่ได้ไม่ถึงปีเพราะมีรัฐประหารในปี 2490 แต่ก็ได้เพาะ “เชื้อบ้าทางการเมือง” ให้กับผู้ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งให้เกิดความตะครั่นตะครอเหมือนเป็นไข้มาลาเรีย เพราะเมื่อมีการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2492 ภายหลังที่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็มีผู้ลงสมัครเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งและส่วนใหญ่นั้นก็คืออดีตผู้สมัครที่เคยลงเลือกตั้งมาตั้งแต่ปี 2489 นั่นเอง เช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งในปี 2494 ที่รัฐบาลเผด็จการของจอมพล ป. พิบูลสงคราม คาดหวังว่าจะลดจำนวน สส.หน้าเก่าๆ ที่เป็นเสี้ยนหนามของรัฐบาลนั้นลงได้บ้าง แต่ก็ยังได้รับชัยชนะเข้ามาในสภาเป็นจำนวนมากเหมือนเดิม

ก่อนจะขึ้นพุทธศตวรรษใหม่ พ.ศ. 2500 จอมพล ป. ได้ขบคิดกับลิ่วล้อเพื่อที่จะวางแผนยึดอำนาจในสภาด้วยการเลือกตั้ง ถึงขั้นส่งนายทหารใหญ่มาคุมพรรคเสรีมนังคศิลาในทุกระดับ มีการกำชับข้าราชการทุกกระทรวงในทุกพื้นที่ต้องเข้ามา “ดูแล” การหย่อนบัตรลงคะแนน อุปกรณ์การเลือกตั้งที่สำคัญคือกล่องใส่บัตรก็มีการ “ตระเตรียม” ไว้เป็นพิเศษ รวมทั้ง “พลร่ม” คือบรรดาคนของรัฐบาลที่จะไปหย่อนบัตรลงในกล่อง ทั้งในรูปแบบของ “ไพ่ไฟ” คือมีบัตรใส่ไว้ในกล่องนั้นล่วงหน้าแล้ว หรือ “เวียนเทียน” คือหมุนเวียนกันไปหย่อนบัตรให้ได้จำนวนมากๆ อันเป็นที่มาของคำว่า “ผี” หรือคนที่ไม่มีชื่อในเขตเลือกตั้งแต่ไปลงคะแนนแทนคนในเขตเลือกตั้งนั้นๆ

ถ้าจะเล่ากันให้ละเอียดก็จะเห็นปรากฏการณ์เหมือนๆ กันนี้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งทุกครั้ง นั่นก็คือคนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าการเลือกตั้งเป็นเรื่องสนุกหรือท้าทาย พอมีเลือกตั้งก็รีบไปหาทางที่จะลงสมัครให้ได้ ส่วนจะได้รับเลือกตั้งเข้ามาหรือไม่ หรือจะต้องสิ้นเปลืองอะไรเท่าไรนั้นเป็นเรื่องรอง ตามนิสัยคนไทยที่ว่า “ถึงไหนถึงกัน” และ “เท่าไหร่เท่ากัน” ยิ่งในสมัยนี้มีสื่อให้ได้ออกสู่สาธารณะหลากหลายมากมาย การได้เป็นข่าวหรือมีภาพตัวเองปรากฏอยู่ในโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์จึงเป็นความตื่นเต้นที่สุดในชีวิต ประหนึ่งว่าได้ถึงจุดสุดยอดบางอย่างแล้ว!

ขณะนี้มีสัญญาณว่าน่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนี้ (ถ้าไม่มีใครไปแหย่ทหารให้ลุกออกมาปฏิวัติเสียก่อน) จึงได้เห็นกลุ่มการเมืองทั้งหลายแสดงอาการ “กระดี๊กระด๊า” ออกมาอย่างถ้วนทั่ว แต่ก็มีบางพรรคที่ยังไม่ค่อยจะพร้อมแสดงอาการละล้าละลังบ้าง แต่ก็อยากจะให้มีการเลือกตั้งในเร็วๆ วันนี้เช่นกัน พฤติการณ์แบบนี้เคยมีลิเกเอาไปร้องเป็นกลอนเปรียบเทียบไว้ว่า

“ปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้นแล้ว โจรการเมืองเผ่นแผล็วขึ้นเห่าหอน
สาบถสาบานชูคอสลอน คำหวานคอยป้อนชาวบ้าน
เหมือนคุณเล็บงามเดือนสิบสอง... กลัดมันกลัดหนอง...สันดาน”

เตร๊ง เตรง เตร่ง เตร๊ง... เตรง เตร่ง เตร๊ง เตรง เตร่ง...

มีผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เคยเป็นถึงประธานรัฐสภาพูดทีเล่นทีจริงว่า ถ้าจะให้ประเทศไทยมีพัฒนาการเมืองที่ดี ต้องเชิญพวกนักการเมืองแนวโบราณหรือพวก “เลือดเก่า” ในสภาออกไปเสียทั้งหมด พร้อมกันนั้นก็นำ “เลือดใหม่” หรือนักการเมืองหน้าใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ในสภา

บังเอิญที่สังคมไทยไม่ได้กว้างขวางอะไรนัก เพราะเลือดใหม่ที่จะเข้ามานั้นก็ไม่พ้นทายาทของพวกเลือดเก่า และที่น่าสังเวชก็คือพวกเลือดใหม่นั่นเองที่ถูกพวกเลือดเก่า “ถ่มน้ำลาย” ให้รับมรดกของความเป็นนักการเมืองพันธุ์เก่า ซึ่งก็เป็นเช่นนี้มารุ่นแล้วรุ่นเล่า

บางทีการเมืองไทยอาจจะต้องลากถูลู่ถูกังกันไปแบบนี้อีกนาน คือลากไปทั้งหัวถลอกเกรียนๆ ตัวมีกลากเกลื้อนเป็นตะปุ่มตะป่ำ และหางสีแดงๆ นี้ไปด้วยกัน !

ข่าวล่าสุด

ผู้ว่า ธปท. ห่วงบาทแข็งเร็ว สั่งตรวจเข้มทำธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์