posttoday

“พริษฐ์” ถาม นายกฯ ทำอย่างไรโน้มน้าว "ภูมิใจไทย" หนุนสถานบันเทิงครบวงจร

20 กุมภาพันธ์ 2568

“พริษฐ์” ถาม นายกฯ ทำอย่างไรโน้มน้าว “พรรคภูมิใจไทย” สนับสนุนเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ จี้ รัฐบาลยืนยัน ไม่มีการตกลงหลังห้อง?

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 17 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันที่ 20 ก.พ. 2568 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับ 2 นโยบายของรัฐบาลที่บรรจุในคำแถลงนโยบายที่นายกแถลงต่อรัฐสภาเมื่อเดือนกันยายน 2567  คือ

1.จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

2.สถานบันเทิงครบวงจร (กาสิโน)

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน

โดยได้ระบุว่า นโยบายการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐาลนั้นทำงานแบบเดินอ้อม แต่นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร กลับเดินหน้าเต็มสปีด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านายกฯ และ พรรคแกนนำรัฐบาล มีเจตจำนงไม่เท่ากันในการผลักดันนโยบายรัฐบาล

 

นายพริษฐ์ เปิดเผยกรณี สถานบันเทิงครบวงจร(กาสิโน) ว่า ความพยายามของพรรคเพื่อไทยเริ่มต้นอย่างจริงจังหลังจากที่สภาฯ มีมติรับทราบรายงานผลการศึกษาและร่าง พ.ร.บ. แนบท้ายของ กมธ. วิสามัญเมื่อ มี.ค. 2567 พอขยับมาที่ 13 ส.ค. 2567 พรรคภูมิใจไทย ได้ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่า “ไม่เห็นด้วย” กับร่างกฎหมายกาสิโนใน 4 ประเด็น 

 

แต่พอผ่านไปเพียง 6 เดือน เมื่อตอนต้นปี 2568 หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกลับให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่มีปัญหา” กับร่างกฎหมายกาสิโน จนที่ประชุม ครม. ได้ร่วมกันอนุมัติหลักการและมอบหมายให้กฤษฎีกาเร่งตรวจทานให้เสร็จภายใน 50 วันเพื่อเสนอเข้าสู่สภาฯ ในนาม ครม.

 

ตอนแรกตนเข้าใจว่าท่าทีที่เปลี่ยนไปของพรรคภูมิใจไทยคงเป็นเพราะร่างของ ครม. ได้มีการแก้ไขจนสามารถคลาย 4 ข้อกังวลของพรรคภูมิใจไทยได้เรียบร้อยแล้ว แต่พอเปิดดูร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร โดยเฉพาะฉบับที่ ครม. รับหลักการเมื่อ 13 ม.ค. และฉบับที่ทางกฤษฎีกาเปิดรับฟังความเห็นเมื่อ 15 ก.พ. เรากลับเห็นว่าทั้ง 4 ข้อกังวลของพรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้ถูกแก้ไขแม้แต่เรื่องเดียว

(1) พรรคภูมิใจไทยเคยทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เมื่อปีที่แล้วไม่ได้แก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย แต่ร่างที่ ครม. รับหลักการ กลับละเลยปัญหาการพนันผิดกฎหมายยิ่งกว่าเดิม “กองทุนป้องกันและฟื้นฟูผลกระทบจากการพนัน” ที่เคยมีอยู่ในร่างของ กมธ. เพื่อช่วยแก้ปัญหาคนที่ติดพนัน ทางร่าง ครม. ก็ตัดออก มาตรการหลายอย่างในร่างของ ครม.

 

โดยเฉพาะการเปิดช่องเรื่องการให้ “วงเงิน” หรือ “สินเชื่อ” แก่ผู้เล่น ก็มีความเสี่ยงที่จะเปิดช่องให้คนที่ไม่มีกำลังไหลเข้ามาติดการพนันได้ง่ายขึ้น และความคาดหวังลมๆ แล้งๆ ว่าพอมีสถานบันเทิงครบวงจรแล้วจะทำให้คนไทยที่ปัจจุบันเล่นพนันใต้ดินหันมาเล่นพนันในกาสิโนในเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ก็ถูกตอกฝาโลงไปเรียบร้อยแล้ว

 

โดยกฤษฎีกาที่ไปกำหนดกำแพงไว้สูงมากว่าคนไทยที่จะเข้ามาเล่นได้ต้องมีเงินฝากในบัญชีไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาทต่อเนื่อง 6 เดือน ซึ่งตนเชื่อว่ามีคนไทยไม่กี่คนเท่านั้นที่บรรลุเงื่อนไขนี้ 

 

(2) พรรคภูมิใจไทยเคยทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เมื่อปีที่แล้วไม่ได้รับประกันผลประโยชน์ที่รัฐและประชาชนจะได้จากกาสิโนอย่าง “มาก” และ “ชัดเจน” เพียงพอ แต่ร่างที่ ครม. รับหลักการมา กลับรับประกันผลประโยชน์น้อยลง หากพูดถึงประโยชน์ในเชิงรายได้เข้ารัฐ ร่างของ กมธ. เคยเปิดกว้างว่ารัฐจะคิดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตสูงเท่าไหร่ก็ได้ตามกลไกตลาด แต่ร่างของ ครม. กลับไปกำหนดเพดานในกฎหมายว่ารัฐจะคิดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตได้ไม่เกินกี่บาท ร่างของ กมธ. เคยกำหนดว่าใบอนุญาตจะมีอายุ 20 ปี ต่ออายุได้ครั้งละ 5 ปี

แต่ร่างที่ ครม. รับหลักการ กลับขยายอายุใบอนุญาตเป็น 30 ปี ต่อได้ครั้งละ 10 ปี  ร่างของ กมธ. พูดชัดว่าจะต้องมีการ “เปิดประมูล” เพื่อให้เกิดการแข่งขัน แต่ร่างของครม. กลับตัดเรื่องการประมูลออกไปเลย หรือหากจะพูดถึงประโยชน์สำหรับประชาชนในพื้นที่ตอนนี้ไม่ต้องหวังจะไปพิสูจน์กับผ่านการทำประชามติในพื้นที่ เพราะแม้ร่างของ กมธ. เคยระบุเพียงแค่ให้รับฟังความเห็นของ “ประชาชนที่อยู่อาศัยในท้องที่ใกล้เคียง” แต่ร่างของ ครม. กลับไปทำให้การรับฟังความเห็นให้แคบลงไปอีก โดยรวมถึงแค่ “ผู้มีส่วนได้เสีย” และ “ผู้มีสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดินข้างเคียง”

 

(3) พรรคภูมิใจไทยยังเคยทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เมื่อปีที่แล้ว ไม่ตอบโจทย์เรื่องการกระตุ้นการท่องเที่ยวและการกระจายนักท่องเที่ยวไปตามเมืองรองทั่วประเทศ แต่ร่างที่ ครม. รับหลักการ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ชัดเจนเรื่องนี้มากกว่าเดิม ทั้งเรื่อง “จำนวน” และ “จังหวัด” ที่ตั้งของสถานบันเทิงครบวงจรก็ยังไม่มี “หลักประกัน” ในตัวกฎหมาย แต่ไปขึ้นอยู่กับ “ดุลพินิจ” ของฝ่ายบริหาร และพรรค

 

(4) พรรคภูมิใจไทยเคยทักท้วงว่าร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เมื่อปีที่แล้ว ไม่มีมาตราไหนที่ระบุเรื่อง “การช่วยเหลือหรือดูแลแรงงานไทยในการจ้างงาน” แต่ร่างที่ ครม. รับหลักการ ก็ไม่ได้มีอะไรเรื่องการ “รับประกัน” การจ้างงานคนไทยที่ชัดเจนขึ้น มีเพียง 1 มาตรา ที่มอบหมายให้คณะกรรมการนโยบายไปกำหนดสัดส่วนการจ้างงานคนไทย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับมาตราที่เคยมีอยู่ในร่างของ กมธ. เมื่อปีที่แล้ว

 

เรายังไม่ต้องพูดถึงข้อกังวลและเสียงทักท้วงจากสังคมในด้านอื่นๆ (เช่น มาตรการป้องกันการฟอกเงิน การรับประกันความโปร่งใสในการแข่งขัน การคาดการณ์ตัวเลขผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ) เฉพาะแค่ 4 ข้อกังวลที่พรรคภูมิใจไทยเคยออกมาตั้งโต๊ะแถลงทักท้วง เราจะเห็นว่าร่างที่ ครม. และพรรคร่วมรัฐบาลร่วมกันรับหลักการเมื่อ ม.ค. 2568 ยังไม่ได้แก้ไขในประเด็นเหล่านี้เลย รวมถึงทำให้บางประเด็นแย่ลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

 

ดังนั้น

"อยากถามตรงๆ ว่านายกฯ หรือรัฐบาลไปทำอะไรมาที่สามารถโน้มน้าวพรรคภูมิใจไทยยอมเปลี่ยนใจหันมาสนับสนุนนโยบายและร่างกฎหมายเอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ของ ครม. ในวันนี้"

 

ตนขอให้ยืนยันว่าไม่ใช่เพราะรัฐบาลไปพยายามตกลงกันหลังห้องว่าจะตั้งกาสิโนที่จังหวัดหรือพื้นที่ไหน? ขอให้ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการแลกเปลี่ยนกันระหว่างการทำกาสิโนบนดินกับการทำกาสิโนออนไลน์ และขอให้ยืนยันว่าไม่ได้เอานโยบายบางอย่างที่เป็นประโยชน์กับประชาชน เช่น การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การกำกับดูแลเรื่องกัญชา ไปแลกกับกาสิโน

 

ด้านประเสริฐตอบคำถามที่สอง ยืนยันว่าความเห็นต่างไม่ใช่ความขัดแย้ง รัฐบาลต้องรับฟังความเห็นของพรรคร่วมรัฐบาล ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอมานั้น เสนอโดยสมาชิกของ 2 พรรคการเมือง การจะให้รัฐบาลเข้าไปแสดงบทบาทหรือเข้าไปรับผิดชอบ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

 

ส่วนเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร  แม้จะผ่านความเห็นชอบของ ครม. แต่ยังมีกระบวนการอีกหลายอย่าง และที่บอกว่ามีพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วย 4 ประเด็น เมื่อคุยกันแล้วก็เกิดความเข้าใจและเห็นด้วย นายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง คุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นๆ ตลอดเวลา หลายเรื่องไม่เข้าใจกันก็สร้างความเข้าใจกันได้ ไม่ได้มีการแลกเปลี่ยนเรื่องอะไร ทุกคนมุ่งเน้นผลประโยชน์สูงสุดที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับ

 

จากนั้นพริษฐ์ถามคำถามสุดท้ายว่า ตนไม่ติดใจที่นายกฯ ใช้ภาวะผู้นำในการคุยกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอื่นเพื่อผลักดันนโยบายของรัฐบาลให้ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่ตนพยายามชี้ให้เห็นคือความแตกต่างระหว่างเจตจำนงของนายกฯ ใน 2 นโยบายดังกล่าว 

 

ในขณะที่การผลักดันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยบอกว่านายกฯ ไม่เคยไปคุยด้วยเลย แต่พอเป็นนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร รองนายกฯ ประเสริฐบอกว่านายกฯ ใช้วิธีการพูดคุยกับหัวหน้าพรรคร่วมเพื่อสร้างความเข้าใจกัน นี่คือความแตกต่างที่เห็นชัด ว่าแม้สองนโยบายนี้จะอยู่ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลทั้งคู่

 

แต่นโยบายหนึ่งนายกฯ และพรรคแกนนำรัฐบาล ยอมเดินอ้อม ยอมปล่อยเกียร์ว่าง ทั้งที่หาเสียงกับประชาชน แต่อีกนโยบายหนึ่ง นายกฯ และพรรคแกนนำรัฐบาลพร้อมชนทุกอย่าง พร้อมคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง เร่งสปีดเต็มที่เพื่อผลักดันให้เกิดขึ้น แม้ไม่เคยหาเสียงไว้กับประชาชน

 

ตนเชื่อว่าหลังจากนี้คงมีอีกหลายนโยบายที่มีความเห็นแตกต่างกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล จึงอยากจะถามว่าในบรรดานโยบายต่อไปนี้ที่อาจมีความเห็นต่างกับพรรคร่วมรัฐบาล นายกฯ และพรรคแกนนำพรรครัฐบาล จะจัดลำดับความสำคัญอย่างไร ระหว่าง

(1) การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

(2) สถานบันเทิงครบวงจร

(3) การกำกับดูแลเรื่องกัญชา

(4) การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้ถึงเป้าหมาย 600 บาทต่อวันภายในปี 2570

(5) การเลือกตั้งผู้ว่าฯในจังหวัดนำร่อง

(6) การยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร

(7) การนิรโทษกรรมคดีการเมือง 

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

โดยนายกฯ มอบหมาย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นผู้ตอบคำถามแทน

 

ด้าน นายประเสริฐตอบว่า ทั้ง 2 นโยบายที่ยกมานั้น รัฐบาลมีความตั้งใจ เวลาเขาคุยกันท่านอาจไม่ทราบ ยืนยันเราไม่มีเดินอ้อม เรื่องรัฐธรรมนูญเราต้องการให้ดำเนินการต่อ ส่วนนโยบายอื่นๆ ที่ถามมา รัฐบาลให้ความสำคัญทั้งสิ้น การจัดลำดับความสำคัญขึ้นอยู่กับจังหวะโอกาส การเรียงลำดับความสำคัญจึงเป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งต้องมีการพูดคุยกัน บางเรื่องทำได้เร็วก็ทำก่อน บางเรื่องต้องใช้เวลา ก็เป็นไปตามกระบวนการที่กำหนดไว้

ข่าวล่าสุด

เกาะติดเลือกตั้ง69 เจาะสนามกทม.เกมชี้ชะตา 4 พรรคการเมืองใหญ่