ย้อนประวัติ เปลือยความคิด"หมอมิ้ง"นายกฯน้อย รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์
เปลือยประวัติและความคิด หมอพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ได้รับความไว้วางใจจากนายกฯแพทองธาร ให้นั่งตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีต่อ เผยประวัติเคยทำงานใกล้ชิดกับอดีตนายกฯทักษิณและอดีตนายกฯเศรษฐา
เมื่อวันที่ 20สิงหาคม 2567 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฯ ในฐานะปฏิบัติหน้าที่แทน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมมีมติให้ นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต่อ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้ง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2567
นายแพทย์พรหมินทร์ หรือหมอมิ้ง เคยเป็นอดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้กับนายกรัฐมนตรีมาแล้ว2คน ประกอบด้วยิ
- นายทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมตรี คนที่ 23 เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2544 - 8 ตุลาคม 2545
และ14 มีนาคม 2548 - 19 กันยายน 2549 - นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 เมื่อ 6 กันยายน2566 - 14สิงหาคม 2567
- เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เมื่อระหว่าง 8 กุมภาพันธ์ 2546 - 6 มกราคม 2548 และเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองนายกรัฐมนตรี เมื่อระหว่าง3 ตุลาคม 2545 - 8 กุมภาพันธ์ 2546ด้วย
นายแพทย์พรหมินทร์ ได้รู้จักกับนายทักษิณ ผ่านเครือข่ายคนเดือนตุลาฯแนะนำให้ดึงตัวช่วยงานด้านกลยุทธ์ และได้เข้าร่วมทำงานกับกลุ่มบริษัทชินวัตร จนตำแหน่งสุดท้ายคือซีอีโอ ของบริษัทชินแซทเทิลไลท์ คอมมิวนิเคชั่นส์
นายแพทย์พรหมินทร์ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังแคมเปญการรณรงค์ทางการเมืองให้กับนายทักษิณ ซึ่งภาพโปสเตอร์ของนายทักษิณยืนชี้นิ้วมองไกลไปข้างหน้าพร้อมกับมอตโต้"พลิกเมืองไทยให้แข่งกับโลก" สร้างความพึงพอใจให้กับชนชั้นกลางและเคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารไทยรักไทยซึ่งถูกยุบพรรคปี2549
ต่อในปี 2566 นายแพทย์พรหมมินทร์ เข้ารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย และมีบทบาทสำคัญในช่วงการเลือกตั้งปี66 เป็นตัวแทนพรรคเพื่อไทยในการขึ้นเวทีประชันวิสัยทัศน์ โต้วาทีกับพรรคการเมืองอื่นๆ
นายแพทย์พรหมมินทร์ เคยให้สัมภาษณ์สื่อถึงบทบาทความสำคัญตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เหมือน"ซีอีโอบริษัท"ต้องเป็นได้ทั้ง political appointee หรือ ผู้ได้รับการแต่งตั้งทางการเมือง และ personal secretary หรือเลขานุการส่วนตัวของผู้นำประเทศ และศักยภาพของ“เลขาธิการนายกรัฐมนตรี”ก็ต้องยึดโยงอยู่กับคุณภาพของผู้นำรัฐบาลด้วย


