พ่อเมืองป้ายแดง หนุ่มสุด...ยุคเสืออิ่มสิงห์โอด
สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผวจ.นครนายก เป็นผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานกันมากหลังมีคำสั่งแต่งตั้งออกมา เนื่องจากขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุดของจังหวัดด้วยวัยเพียง47ปีเท่านั้น
สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผวจ.นครนายก เป็นผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานกันมากหลังมีคำสั่งแต่งตั้งออกมา เนื่องจากขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุดของจังหวัดด้วยวัยเพียง47ปีเท่านั้น
โดย...ทีมข่าวการเมือง
คําสั่งแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ 48 ตำแหน่ง ของกระทรวงมหาดไทย แม้จะผ่านความเห็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไปตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. 553 แต่ผู้ว่าฯ หลายคนก็ต้องลุ้นตัวโก่ง ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ กระทั่งวันที่ 24 ธ.ค. มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ลงมา
สุทธิพงษ์ จุลเจริญ ผวจ.นครนายก ชื่อเล่น เก่ง เป็นผู้ว่าฯ อีกคนหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานถึงกันมากหลังจากมีคำสั่งออกมา เนื่องจากเป็นข้าราชการหนุ่มแห่งคลองหลอด ที่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสุดของจังหวัดด้วยวัยเพียง 47 ปี หากดูข้าราชการรุ่นราวคราวเดียวกันถือว่าเป็นผู้ว่าฯ อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้ว่าฯ ด้วยกันในยุค “เสืออิ่ม สิงห์อด” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย
มีโอกาสได้ไปพูดคุยจึงสอบถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ข้าราชการเขานินทากัน ได้มาเพราะกำลังภายในดี ผู้ว่าฯ เก่ง ตอบทันทีว่า นิสัยคนไทยต่อหน้าคงไม่วิจารณ์มากนัก แต่ลับหลังคงเป็นอีกเรื่อง แต่จุดหักเหของการรับราชการคงเป็นตอนที่ได้เข้าทำหน้าที่หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีในสมัย พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา เป็น รมว.มหาดไทย เพราะเป็นการร่นเวลาราชการไปเยอะมาก เพราะตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งวิชาการแต่เท่าเทียบกรม และพูดอย่างไม่อายที่จะบอกว่า การได้มานั่งตรงนี้เป็นเรื่องของดวงด้วย ชีวิตตรงนี้ถือว่าดวงกำหนด
ก่อนจะย้อนเล่าไปว่า จุดเริ่มต้นมาจากตอนที่เป็นปลัดอาวุโสอยู่ที่ จ.ราชบุรี ประมาณปี 2547-2548 สมัย โภคิน พลกุล เป็น รมว.มหาดไทย ก็ได้รับการชักชวนจาก ชานนท์ สุวสิน (คนสนิท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ซึ่งเป็นคน จ.ลำปาง ตัวเองก็เคยเป็นปลัดอำเภออยู่ที่นั่น แต่ยังไม่รู้จักกัน เมื่อ “ชานนท์” มองหาคณะทำงานไปช่วยงานหน้าห้องรัฐมนตรี ก็ติดต่อให้นายอำเภอใน จ.ลำปาง คนหนึ่งไปช่วยงาน แต่นายอำเภอปฏิเสธ
เมื่อมีการติดต่อมาใจจริงก็ไม่อยากไป เพราะไม่อยากอยู่กับนักการเมือง แต่ท่านก็บอกให้โอกาสคิดอีกครั้งและขอคำตอบตอนเย็น วันนั้นจำได้ขณะเดินเล่นอยู่ มีผู้ใหญ่คนหนึ่งมีความรู้ทางโหราศาสตร์ คือ อ.สุธน ศรีหิรัญ โทรศัพท์มาบอกว่า “สุทธิพงษ์ คุณจะโชคดีครั้งใหญ่ เพราะดวงจะได้เปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนที่ทำงาน เลื่อนขั้นได้สายสะพาย” พร้อมกับอธิบายตามหลักโหราศาสตร์
ก็คิดในใจว่า “จะเป็นไปได้ไง เพราะเพิ่งซี 7 เอง ได้สายสะพายไม่รู้ว่าจะต้องมีธงชาติคลุมด้วยหรือเปล่า” ผู้ว่าฯ เก่ง เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี แต่ก็งงเหมือนกันว่ามันสอดคล้องกับเรื่องที่มีผู้ใหญ่ชวนไปทำงานได้ยังไง พอบอก อ.สุธน ท่านก็บอกให้รีบตกลงรับไปเลย โดยส่วนตัวแม้ไม่เชื่อเรื่องนี้มากนัก แต่คิดว่าไม่มีอะไรเสียหายจึงตกลง ทำงานเป็นคณะทำงานของคุณชานนท์ และได้รับความเมตตา ทำให้มีโอกาสเจริญก้าวหน้า
ประกอบกับเป็นช่วงที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ปรับเปลี่ยนระบบซีใหม่ถึง 2 ครั้ง ทำให้ที่ทำงานอยู่รื่นไหล จากตำแหน่งระดับ 8 วิชาการ (ว.) อยู่ได้ 1 ปี ได้ตำแหน่งระดับ 9 เชี่ยวชาญ (ชช.) จากนั้นมีการเปลี่ยนตำแหน่งจากระดับ 9 ชช. เป็นระดับ 9 บริหาร เป็นเรื่องจังหวะและดวงมากๆ เพราะเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีสมัย พล.อ.อ.คงศักดิ์ เป็น รมว.มหาดไทย สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อมีการปฏิวัติ อารีย์ วงศ์อารยะ เข้ามาเป็น รมว.มหาดไทย ท่านก็ให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป ทำให้ได้นั่งตำแหน่งนี้มาทุกรัฐบาล ตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ จนถึงรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเป็นฝ่ายประจำที่ต้องทำงานด้านธุรการให้รัฐมนตรี คือ อยู่ได้ทั้งรัฐบาลปฏิวัติและรัฐบาลเลือกตั้ง
พอถามคิดว่าเพื่อนๆ จะอิจฉาหรือไม่ ผู้ว่าฯ เก่งเชื่อ คงไม่อิจฉา แต่น่าจะยินดีกับเรามากกว่า แต่ไม่ใช่ว่าเราจะได้ดีที่สุดในรุ่น 36 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เพราะมีเพื่อนบางคนได้เป็นอธิบดีมา 2 กรมแล้ว คือ จตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ แต่ในสายของนักปกครองถือว่าตนเองอายุน้อยที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าในอดีตไม่มีผู้ว่าฯ อายุน้อยมาก่อน เพราะเคยมีผู้ว่าฯ ที่อายุน้อยกว่านี้อีกมาก เช่น อารีย์ วงศ์อารยะ อนันต์ อนันตกูล และ อนุชา โมกขะเวส ที่เป็นผู้ว่าฯ ตั้งแต่อายุ 30 กว่าหรือ 40 ต้นๆ
อย่างไรก็ตาม เขาสรุปทิ้งท้าย แม้จะบอกว่าที่ได้ดีมาทั้งหมดนี้เป็นเพราะดวงกำหนด แต่ก็ไม่ได้เชื่อดวงมากนัก จะเอาดวงไว้เป็นแนวทางเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วขอเชื่อพระพุทธเจ้าดีกว่า
สำหรับเป้าหมายในการทำงาน เขาบอกจะทุ่มเททำงานให้เต็มที่ เพราะยังเหลืออายุราชการอีกหลายปี ส่วนตำแหน่งปลัดกระทรวงไม่แน่ แล้วแต่บุญแต่กรรม เพราะเอาเข้าจริงยังไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ว่าฯ ถึงเมื่อไหร่ ถ้าเบื่อๆ ก็มีจุดอิ่มตัวอาจลาออกไปทำนาก็ได้ ดังนั้นเราโชคดีได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว ต้องช่วยชาวบ้านให้มากที่สุด ทำงานให้ดี ทำงานให้ชาวบ้านรักและศรัทธา จะได้เป็นกำไรชีวิต
“ผมเป็นผู้ว่าฯ ติดดิน เป็นลูกทุ่ง หากใครอยากวัดเรตติ้ง ผมก็กล้าท้า ถ้ามีคนนครนายกยี้ผมเกิน 20% ก็คิดว่าลาออกดีกว่า ไปทำไร่ทำสวนดีกว่า” ผู้ว่าฯ เก่ง กล่าวอย่างเชื่อมั่น !!!
*********************
พ่อเมืองเป็นยาก แต่เป็นพ่อเมืองที่ดียากยิ่งกว่า
สุทธิพงษ์ จุลเจริญ มองว่า การได้เป็นเจ้าเมืองเหมือนชีวิตประสบความสำเร็จในการรับราชการ แต่ไม่ใช่เพราะการเป็นเจ้าเมืองที่ดีเป็นยากยิ่งกว่า เป็นแล้วจะสามารถทำประโยชน์ให้กับชาวบ้านได้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ระบบข้าราชการเหมือนมีกรรมเก่า ทั้งที่เป็นระบบที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่คนในระดับนโยบาย กลับให้ความสำคัญน้อยลง ยอมรับว่าการทำงานคงไม่ง่าย แต่ได้ทำใจมาแล้วว่า ระบบราชการมีกรรมเก่า ระบบราชการไม่ได้ถูกทำให้เป็นระบบที่ช่วยชาวบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งที่เป็นระบบที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่อาจจะเป็นกรรมเก่าที่คนระดับนโยบาย ให้ความสำคัญน้อยลง อาจจะเป็นเพราะเขามองว่าบ้านเมืองเจริญแล้ว ทุนต่างๆ เข้ามาเยอะ จนพวกเราอาจจะดูเชยล้าสมัยไปแล้ว ทำให้ไม่ได้รับการสนับสนุนในเรื่องบุคคลากร งบประมาณ สายเลือดใหม่เข้ามายาก เพราะคนเก่าไล่ออกยาก ระบบราชการจึงเป็นองค์ที่บิ๊กเนมชื่อใหญ่โตมาก แต่กลับรับใช้ประชาชนได้น้อย เป็นเรื่องน่าเสียดาย ถ้าตนมีอำนาจอยากจะแก้ไขตรงนี้ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคตรงนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาทำให้ผู้ว่าฯหนุ่มผู้นี้ท้อแท้แต่อย่างใด แต่กลับทำงานด้วยความสุขและเต็มใจทำหน้าที่ดีให้ดีที่สุด
ผู้ว่าฯเก่งขยายความเรื่องแรงบันดาลใจ และกำลังใจให้ทำงานเต็มความสามารถ เพราะเขาเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงต้องทำดีเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีให้ถึงที่สุด โดย จ.นครนายก ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากโครงการต่างๆ ของพระบรมวงศ์
ศานุวงษ์จำนวนมาก โดยเฉพาะของในหลวง และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทานโครงการพระราชดำริให้กับ จ.นครนายก เป็นจำนวนมาก ทำให้เราท้อไม่ได้โครงการไหนไม่มีงบประมาณ ก็ต้องพยายายามเดินหน้าทำให้ได้
“คนที่เป็นผู้ว่าฯ ถือโชคดีมาก เพราะสามารถทำในสิ่งที่อยากทำได้เพราะจังหวัดเป็นศูนย์รวมของทุกหน่วยงาน โดยส่วนตัวจะพยายามสร้างความสมดุลระหว่างงานเชิงนโยบายที่ได้รับมอบหมาย และงานการพัฒนาที่เราริเริ่มเอง โดยถือคติในการทำงานว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ดีไม่จีรัง เพราะหากปล่อยให้ทำชั่วได้ดีอย่างที่มีการพูดกัน สังคมคงเดินต่อไปไม่ได้ ดังนั้นต้องทำดีให้ถึงที่สุด” เขากล่าวด้วยแววตามุ่งมั่น
สำหรับวิสัยทัศน์ในการทำงาน โดยเฉพาะงานด้านการพัฒนา ผู้ว่าฯเก่ง บอกว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันในสังคมเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ดังนั้นการจะให้ความสำคัญกับคนด้อยโอกาสที่ขาดแคลน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และคนที่ยากจน โดยสองกลุ่มจะต้องได้รับการดูแลมากที่สุด แต่เราก็ไม่ได้ทิ้งคนรวย
ทั้งนี้รูปธรรมในการแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัด ผู้ว่าฯเก่งเล่าให้ฟังว่า มุ่งหวังที่จะให้เด็กนครนายกได้รับการศึกษาอย่างทั่วหน้า เพราะการศึกษาเป็นปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาชีวิตของทุกคน และตอนนี้กำลังสำรวจเด็กแต่ละครัวเรือนว่า มีปัญหายากจนอย่างไร ถ้ายากจนมากจะจัดหาพ่อแม่อุปถัมภ์ประกบเพื่อให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสทางการศึกษาให้ได้
นอกจากนี้จะสร้างศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ บนพื้นที่ 250 ไร่ เพื่อให้เป็นที่ศึกษาของประชาชนและเป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องการแก้ปัญหาการบุกรุกที่ดินสาธารณะของนายทุน เพื่อให้ที่ดินตกเป็นประโยชน์ของสาธารณะอย่างแท้จริง
*********************
ต้องหิ้วปิ่นโตไปวัดทุกวันพระ
ผู้ว่าฯ สุทธิพงษ์ จุลเจริญ คุยย้อนไปสมัยเด็กว่า ชีวิตก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไปที่อยากเป็นหมอ อยากเป็นทหาร เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่มีอย่างหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือ การชอบการเมืองตั้งแต่เด็กๆ ด้วยความที่เป็นคน จ.ตราด ก็เคยฟังการปราศรัยหาเสียงของ ร.อ.ต.ฉลาด วรฉัตร อยู่หลายปี ตั้งแต่ชั้นประถม จนกระทั่ง ร.อ.ต.ฉลาด ได้เป็น สส. มารู้ตัวว่าเราชอบการเมืองมาก ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ตามร้านกาแฟแถวหมู่บ้าน เพราะที่บ้านไม่มีเงินซื้อ เป็นแค่ลูกชาวสวนชาวไร่ แม่ทำสวน ขายขนม จำได้ว่าช่วงที่อายุ 9-10 ขวบ สนใจการเมืองมาก ตรงกับช่วง 14 ต.ค. 2516 พอดี
เรียนจบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนชุมชนแหลมงอบ (นิเทศก์อุปถัมภ์) ม.ต้น ที่โรงเรียนแหลมงอบวิทยาคม ม.ปลาย เรียนโรงเรียนตราดตระการคุณ การอยู่บ้านนอกทำให้ใกล้ชิดวนเวียนอยู่กับนายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน จนรู้สึกว่าอยากอยู่ฝ่ายปกครอง ประกอบกับเราชอบการเมืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อีกทั้งไม่ถนัดทางวิทย์-คณิต จึงตัดสินใจสอบคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และมารู้ว่ามาถูกทางแล้ว เพราะในช่วงที่เรียนได้ทำกิจกรรมทางการเมืองมากมาย แต่ส่วนมากอยู่ฝ่ายข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็นฝ่ายการเมืองขององค์การบริหารนิสิตจุฬาฯ มีเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง อ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ และมนตรี ศรไพศาล โดยกิจกรรมในตอนนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวในการเมืองระดับชาติ จะเน้นเรื่องการช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกไล่ที่จากพื้นที่ทหาร
สิ่งที่ทดสอบว่าเดินมาถูกทางแล้ว ผู้ว่าฯ เก่ง มองว่า ในสมัยช่วงที่เรียนอยู่ปี 4 จุฬาฯ เทอมปลาย บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร เรียกไปสัมภาษณ์เพื่อให้ทำงาน แต่ขอสละสิทธิ์เพราะอยากเป็นข้าราชการมากกว่า สำหรับคนบ้านนอกแล้วถือว่าเป็นคำตอบที่ดีของชีวิตและวงศ์ตระกูล จึงสอบเข้าเป็นปลัดอำเภอได้เป็นข้าราชการฝ่ายปกครองสมใจ ตำแหน่งแรกที่ทำงานคือปลัดอำเภอวังเหนือ จ.ลำปาง ตอนนั้นคิดว่าได้เป็นนายอำเภอก็คงบุญหัวแล้ว แต่ก็อยากเป็นเจ้าเมืองเหมือนกัน
ความสำเร็จในตำแหน่งพ่อเมืองในวันนี้ นอกจากมีผู้ใหญ่เมตตาแล้ว อีกหนึ่งส่วนที่สำคัญในชีวิตผู้ว่าฯ นครนายก มองว่าเกิดจากการได้รับความช่วยเหลือสนับสนุนจาก “พระ” ที่คอยให้ความช่วยเหลือให้คำปรึกษาในเรื่องต่างๆ จนงานต่างๆ สามารถลุล่วงไปได้ จนทำให้ผู้ว่าฯ กลายเป็นคนติดวัดไปแล้ว ที่ทำงานก็อยู่ใกล้วัด แม้แต่พักกลางวันก็ต้องขอเข้าไปในวัดทุกวัน
เขาขยายความว่า โดยส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเข้าวัดทำบุญมาก จะตามพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย เข้าวัดตั้งแต่เด็ก เมื่อมาทำงานตรงนี้จึงได้ทำโครงการ “หิ้วปิ่นโตผู้ว่าฯ เข้าวัด” เพื่อทำบุญถวายเป็นพระราชกุศล โดยมอบเงินให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านเดือนละ 500 บาท เพื่อนำไปจัดปิ่นโตถวายพระวัดละเถา ในทุกวันพระใหญ่จำนวน 205 เถา โดยผู้ว่าฯ ก็จะถือปิ่นโตไปทำบุญและถือโอกาสพบปะกับชาวบ้านด้วย
สำหรับพระผู้ใหญ่ที่มักไปสนทนาธรรมและขอคำปรึกษา อาทิ สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร ที่เป็นคนตราดเหมือนกัน สมเด็จพระธีรญาณมุนี เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส และพระธรรมวรเมธี หรือ “ท่านเจ้าคุณชิน” วัดราชบพิธฯ หลักธรรมคำสอนล้วนมีประโยชน์ในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะพระไม่มีวาระซ่อนเร้น คุยแล้วสบายใจ ดังนั้นการเข้าวัดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แต่ยังไม่ได้บวชเรียนเลย พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ (ยิ้ม)


