posttoday

คนไทยกับคนไท

23 มกราคม 2554

นักการเมืองไทยหลายคนไม่ค่อยเข้าใจใน “ธาตุแท้” ตรงนี้ของคนไทย จึงมักจะหลงตัวเองว่าคนไทยยังคลั่งไคล้ตนเองอยู่เสมอ หรือเลือกตั้งกี่ครั้งๆ คนก็ยังจะเลือกตนเข้ามา....

นักการเมืองไทยหลายคนไม่ค่อยเข้าใจใน “ธาตุแท้” ตรงนี้ของคนไทย จึงมักจะหลงตัวเองว่าคนไทยยังคลั่งไคล้ตนเองอยู่เสมอ หรือเลือกตั้งกี่ครั้งๆ คนก็ยังจะเลือกตนเข้ามา....

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

ฝรั่งเคยแปลคำว่า “ประเทศไทย” ว่าคือ “Land of Free” พอดีกันกับที่ประเทศไทยในยุคนั้น (ราวปี พ.ศ. 2510 ที่ผู้เขียนกำลังเรียนอยู่ชั้นประถม 4) มี “ชื่อเสีย” อยู่หลายๆ เรื่อง เป็นต้นว่า บริการทางเพศ จึงถูกโยงเข้าด้วยกันแล้วเรียกประเทศไทยว่า Land of Free Sex

ก่อนวันที่ 14 ต.ค. 2516 มีการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการอภิปรายโจมตีทรราช “ถนอม-ณรงค์-ประภาส” อย่างเผ็ดร้อน ผู้เขียนไปนั่งฟังอย่างสนุกสนานตั้งแต่วันที่ 11 ก่อนที่จะเคลื่อนออกมาจากธรรมศาสตร์ในบ่ายวันที่ 13 เรื่องหนึ่งที่นำมาแฉบนเวทีก็คือ ทหารภายใต้การนำของทรราชกลุ่มนี้ได้ “ขายอธิปไตย” ให้กับอเมริกาเสียแล้ว

“มันทำยังกับว่าประเทศไทยเป็นกะหรี่ เป็นประเทศโสเภณี-ฟรีเซ็กซ์ จึงได้ร่อนออกไปขายให้ฝรั่ง มันขายอธิปไตย ให้ต่างชาติมาข่มเหงย่ำยี...” (ที่จริงผู้พูดพูดแรงกว่านี้ แต่สามารถนำเสนออย่างสุภาพที่สุดได้แค่นี้)

Free โดยนัยของฝรั่งออกจะมีความหมายไปในทางลบ อย่างคนที่ไม่ทำงานอะไรแต่ได้รับเงินสงเคราะห์จากรัฐบาลไปใช้ทุกเดือน คนที่ได้อะไรฟรีๆ แบบนี้จึงเป็นที่ดูหมิ่นดูแคลนเป็นอย่างยิ่ง อีกอย่างหนึ่งสังคมฝรั่งไม่ค่อยคุ้นกับการทำอะไรที่ “ให้เปล่า” จึงไม่ค่อยเข้าใจว่าการทำอะไรให้กันฟรีๆ มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรแอบแฝงหรือไม่ แม้แต่ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ฝรั่งเป็นต้นคิดก็ยังเขียนไว้ว่า “ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ” หรือ “ของฟรีไม่มีในโลก”

 

คนไทยกับคนไท

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยแสดงความคิดเห็นโต้แย้งไว้ว่า Thailand ไม่ใช่ Land of Free แต่เป็น Land of Independence ซึ่งคำ Indepen dence นี้แปลตรงๆ ว่า “เป็นอิสรภาพ ไม่ขึ้นกับใคร” โดยมีเหตุผลสนับสนุน 2 ด้าน คือ ด้านประวัติศาสตร์กับด้านพฤติกรรม

ในด้านประวัติศาสตร์ก็มีข้อเท็จจริงว่า ประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ตั้งแต่ที่เป็นรัฐไทยมาในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือในอดีตก่อนหน้านี้ก็อาจจะเคยเสียเอกราชให้แก่พม่า 2 ครั้ง หรือย้อนกลับไปก่อนที่จะมีอาณาจักรสุโขทัยเกิดขึ้น คนไทยก็เคยอยู่ภายใต้อำนาจของขอม แต่โดยสภาพของการดิ้นรนต่อสู้ แสดงให้เห็น ว่าคนไทยเป็นชาติที่รักอิสระ ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของใคร หรือถ้าถูกครอบครองก็พยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นสภาพนั้นออกมาโดยเร็ว

ในด้านพฤติกรรม ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ชี้ให้เห็นว่า คนไทยปกครองยาก เพราะมีนิสัยรักอิสรเสรีดังกล่าว ทั้งยังชอบเปลี่ยนแปลงสังกัดหรือเปลี่ยนกลุ่มอยู่เรื่อยๆ ซึ่งถ้ายิ่งได้ศึกษาการกระจายตัวของกลุ่มคนเชื้อชาติไทย ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าคนไทยมีการกระจายตัวกันค่อนข้างมาก คือ มีการแยกเป็นเชื้อชาติย่อยๆ หลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ไทยจ้วงในมณฑลกว่างซีจ้วง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ไทยสิบสองปันนาในยูนนานที่อยู่ใต้ลงมา ไทยอาหมที่อยู่ในแคว้นอัสสัมของอินเดีย ไทยใหญ่ในพม่า ไทยน้อยหรือไทยสยามในสุวรรณภูมิ ไทยดำและไทยลาวที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง เหล่านี้เป็นต้น (ตลอดจนไทยเล็กไทยน้อยที่ยังมีอีกนับสิบกลุ่ม)

อีกส่วนหนึ่งถ้าจะพิจารณาจากทฤษฎีการเคลื่อนย้ายของคนไทยที่มีบางทฤษฎีกล่าวว่า คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต แล้วแตกแยกย้ายออกเป็นหลายสาขา อย่างที่ปรากฏเป็นคนไทยเผ่าต่างๆ ข้างต้น ก็ทำให้เชื่อได้ว่าคนไทยไม่ชอบแรงกดดัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ไม่ชอบให้ใครมาเจ้ากี้เจ้าการบงการชีวิตของตน อันเป็นการตอกย้ำว่าคนไทยไม่ชอบเป็นขี้ข้าใคร

ผู้เขียนเคยนำความคิดข้างต้นของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไปบรรยายแล้วถูกผู้ฟังถามกลับมาว่า ถ้าคนไทยรักอิสรเสรีจริงๆ แล้วทำไมจึงมีระบบเจ้าขุนมูลนาย รวมทั้งระบบอุปถัมภ์เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งผู้เขียนก็ได้ขยายความด้วยคำอธิบายของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ต่อไปว่า ระบบอุปถัมภ์ของไทยนั้นเป็นระบบของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เจ้าขุนมูลนายไม่ได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงของบรรดาไพร่ หรือแม้แต่กระทั่งทาสก็สามารถเปลี่ยนเจ้านาย รวมทั้งแสวงหาการคุ้มครองที่ดีกว่าจากเจ้าขุนมูลนายคนอื่นได้

ที่จริงคำว่า “ไทย” ไม่ใช่คำที่ใช้เรียกคนไทยมาแต่ดั้งเดิม นักมานุษยวิทยาได้ทำการศึกษาแล้วพบว่า คนไทยที่เป็นชาติไทยในปัจจุบันถูกเรียกว่าสยามมาแต่โบราณ ซึ่งมีชื่อในภาษาจีนในฐานะที่เป็นชนชาติแรกที่ออกสำรวจโลกมาถึงพื้นที่แถบนี้เรียกคนสยามว่า “เสียน” รวมทั้งพบความจริงว่าคนในดินแดนแถบนี้พูดภาษาคล้ายๆ กัน เพียงแต่มีวัฒนธรรมด้านการ|แต่งกายและความเชื่อบางอย่างที่แตกต่างกัน จึงแยกกันออกเป็นกลุ่มๆ ดังที่มีชื่อไทยเผ่าต่างๆ นั้น

นักภาษาศาสตร์ได้อธิบายถึงคำว่าไทยว่า แท้จริงนั้นมาจากคำว่า “ไท” ซึ่งแปลว่า “พวก” อย่างที่มีคนไทยเผ่าต่างๆ ก็คือคนไทยพวกต่างๆ นั่นเอง ดังนั้นตามความเป็นจริงจะต้องเขียนชื่อชนชาติเหล่านั้นว่า ไทจ้วง ไทสิบสองปันนา ไทอาหม ไทไหย่ ไทน้อย และไทลาว ฯลฯ

ผู้เขียนมีบรรพบุรุษมาจากทางภาคอีสาน สมัยเด็กๆ ก็เคยไปใช้ชีวิตและร่ำเรียนอยู่ในภาคอีสานนี้หลายปี เวลาที่เล่นเกม เช่น ขี่ม้าส่งเมือง หรือตี่จับ ก็จะมีการแบ่งกลุ่มมาแข่งขันกัน แล้วก็เรียกชื่อกลุ่มตามชื่อหัวหน้าหรือผู้นำกลุ่ม โดยมีคำว่าไทนำหน้า เช่น ไทบักดม (พวกของอุดม) ไทบักสิด (พวกของประสิทธิ์) นอกจากนี้ยังใช้เรียกคนต่างพวกกันหรือระบุสังกัด เช่น เวลาที่แข่งบั้งไฟระหว่างหมู่บ้านต่างๆ ก็จะเรียกว่าไทบ้านโน้นไทบ้านนี้ ก็จะเป็นที่เข้าใจว่ามาจากคนละที่กัน

ในสมัยก่อนคนอีสาน (ไทลาวหรือคนไทยพวกหนึ่ง) นิยมมาทำงานกรุงเทพฯ แต่เวลาที่กลับบ้านมักจะเปลี่ยนบุคลิกไปเป็นคนละคน ทั้งการแต่งกาย การพูด และกิริยาท่าทาง ชาวบ้านก็จะค่อนแคะนินทาว่าคนพวกนี้ “ลืมซาด” (ลืมเผ่าพันธุ์วงศ์ตระกูล) “มันเป็นไทกรุงเทพฯ ไปเบิ๊ดแล่ว” (มันเป็นชาวกรุงเทพฯ ไปหมดแล้ว) “ไทเฮาอย่าสิเข่าไปใกล้เด้อ” (พวกเราอย่าเข้าไปใกล้เลย)

เขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เชื่อมโยงเข้ากับคนไทยและการเมืองไทยในปัจจุบัน ซึ่งก็จะเห็นว่ายังรักอิสระและไม่ค่อยเข้าใครออกใครอยู่เหมือนเดิม

นักการเมืองไทยมีการเปลี่ยนพรรคอยู่บ่อยๆ หรือแม้จะอยู่พรรคเดียวกันก็มีหลายก๊กหลายก๊วน ผู้เลือกตั้งเองก็เปลี่ยนใจไปมา ไม่ชอบที่จะจมปลักกับผู้สมัครคนใดพรรคใดอย่างมั่นคง กระแสการเมืองเปลี่ยนไปตามอารมณ์ของผู้คน ทิศทางการเมืองเอาแน่ไม่ได้ จนอาจจะเรียกได้ว่านี่แหละคือ “การเมืองแบบไทยๆ”

นักการเมืองไทยหลายคนไม่ค่อยเข้าใจใน “ธาตุแท้” ตรงนี้ของคนไทย จึงมักจะหลงตัวเองว่าคนไทยยังคลั่งไคล้ตนเองอยู่เสมอ หรือเลือกตั้งกี่ครั้งๆ คนก็ยังจะเลือกตนเข้ามา

ขอจงทราบว่าคนไทยเปลี่ยนแล้ว แต่ท่านยังไม่เปลี่ยน!

ข่าวล่าสุด

ผู้ว่า ธปท. ห่วงบาทแข็งเร็ว สั่งตรวจเข้มทำธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์