posttoday

2สส.ก้าวไกลเบรก'สุทิน'หยุดตั้งธงไทยผิดสัญญาปมจัดซื้อเรือดำน้ำ

05 มกราคม 2567

ชยพล - เอกราช สส.พรรคก้าวไกล เบรก สุทิน รมว.กลาโหม ตั้งธงไทยผิดสัญญาจัดซื้อเรือดำน้ำ ระบุในสัญญาให้เจรากันได้

เมื่อวันที่ 5ม.ค.67 ที่รัฐสภา นายชยพล สท้อนดี สส.กทม และ นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม. พรรคก้าวไกล ร่วมกันแถลงข่าวเรื่องงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ฌดยนายชยพล ระบุว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อภิปรายเมื่อวานนี้ (4 ม.ค.) ว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมได้น้อย ต้องเรียกว่า สุทินดาวน์น้อย จึงทำให้งบน้อยลง ซึ่งความพินาศก้อนใหญ่ก็ยังคงรออยู่ งบ ปี 67 ไม่สูงเท่าปีอื่น แต่ยอดดาวน์ที่เป็นงบประมาณในการซื้ออาวุธยุปกรณ์ก็ยังสูงอยู่ดี 

ส่วนเรื่องเรือดำน้ำ นายสุทิน บอกว่าประเทศไทยผิดสัญญากับจีนในช่วงโควิด ไม่สามารถจ่ายเงินได้ ตนขอแสดงความกังวลว่า ในสัญญาระบุว่าหากมีเหตุไม่คาดฝัน มาเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันไม่จำเป็นจะต้องมีการปรับเงิน ซึ่งจีนเองก็ไม่สามารถประกอบเรือดำน้ำได้ ไทยไม่จำเป็นที่จะต้องจ่ายค่าปรับ และไม่มีการคาดโทษ 

“แต่การที่นายสุทินพูดว่าไทยผิดสัญญาที่ไม่จ่ายเงินจีน ถือเป็นการตั้งธงทางความคิด ทำให้ไทยเสียเปรียบ จะทำให้มีปัญหาในการเจรจาต่อสัญญากับจีน แต่ในเมื่อสัญญาระบุไว้ว่า ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าปรับ และจีนก็ไม่ได้ทำตามสัญญา”

ส่วนการที่ นายสุทิน บอกดาวน์น้อยเพราะกลาโหมได้ของบประมาณไปแล้ว แต่สำนักงบได้ตัดออกไป นายชยพล ระบุว่า ตนได้อภิปรายว่า นายสุทิน มีความตั้งใจที่จะส่งงบประมาณ แต่ถูกสำนักงบประมาณตัด จึงทำให้เกิดดาวน์น้อย นายสุทินมีความตั้งใจที่จะลดงบกระโหมจริง แต่สำนักงบเป็นผู้ลดเอง

ด้านนายเอกราช ยืนยันว่า ไม่ใช่การตีปิงปองทางการเมือง แต่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของประชาชน นายสุทินบอกว่ามีความตั้งใจดี เราก็จะคอยคิดตาม แต่สื่อมวลชนสามารถโหลดเล่มงบประมาณจะเห็นรายจ่ายการคาดการณ์ หากนายสุทินคาดว่า 3 เดือน ไม่สามารถจัดการงบ ปี 67 ได้ แต่ไม่ได้คาดการณ์ว่าปี 68-69 จะคาดการณ์ไม่ได้ เรื่องนี้จึงฟ้องในตัวเองว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เคยใส่ใจดูแลรายละเอียดงบประมาณ ดังนั้นงบประมาณควรจะอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม อยู่ในทิศทางที่แถลง

นายเอกราช ยังกล่าวถึงการก่อสร้างโครงการสนามบินอู่ตะเภา ว่า นายสุทิน น่าจะฟังทหารมากจนเกินไป จึงอยากให้รัฐมนตรีไปสืบค้นเอกสารว่าสถานะมติ ครม. เคยให้ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เป็นผู้ดูแลโครงการและกู้เงินกับธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (เอไอไอบี) เมื่อได้รับการอนุมัติวงเงินที่ลดลงจากครั้งแรก จึงมีมติคณะกรรมการให้ กองทัพเรือ เป็นผู้รับผิดชอบ และโครงการก่อสร้างต้องโอนทั้งหมดให้ไปอยู่ในหน่วย สกพอ. ไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่กองทัพเรือจะกู้เงินจากต่างประเทศ และตั้งงบผูกพัน ปี 67-70 ตนจึงขอให้รัฐมนตรีตรวจสอบให้ชัดเจน อยากให้ผู้รับผิดโดยชอบตรงได้กู้เงิน 

“หากกองทัพเรือยังเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ ธนาคารแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศอาจจะไม่ปล่อยให้ ท้ายที่สุดก็จะเป็นภาระงบประมาณของไทยในปีถัดไป อยากให้รัฐมนตรีทบทวนในเรื่องการรับรับผิดชอบโครงการ สกพอ. ควรรับผิดชอบมากกว่ากองทัพเรือ”