posttoday

DSI ย้ำรับโอนคดีGGCทุจริตซื้อน้ำมันปาล์มดิบตามกฎหมาย

12 ธันวาคม 2566

DSI ชี้แจงรับโอนคดีผู้บริหารโกลบอลกรีนฯทุจริตสั่งซื้อน้ำมันปาล์มดิบมูลค่าความเสียหายกว่า2พันล้านบาทจาก บก.ปอศ. เป็นไปตาม มาตรา 21 พระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ

ตามที่ปรากฏข่าวในโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 กล่าวหาว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ "แย่งคดี ปอศ. ช่วยแก๊งสวาปาล์ม" กรณีรับโอนคดีกล่าวหาผู้บริหารของบริษัทโกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) กระทำความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติ หลักทรัพย์และตลาดหลักทรั พย์ พ.ศ. 2535 จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาดำเนินการเสียเองทั้งที่คดีใกล้จะเสร็จจนมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาและเตรียมสรุปสำนวนการสอบสวนแล้วนั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยแพร่เอกสารข่าวผ่านทางเว็บไซต์ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีปรากฎข่าวในโซเชียลมีเดีย  เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566  กล่าวหาว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ"แย่งคดี ปอศ. ช่วยแก๊งสวาปาล์ม" กรณีรับโอนคดีกล่าวหาผู้บริหารของบริษัทโกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC) กระทำความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาดำเนินการเสียเองทั้งที่คดีใกล้จะเสร็จจนมีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาและเตรียมสรุปสำนวนการสอบสวนแล้วนั้น

กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงว่า การรับโอนคดีเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายในการสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547  

1.เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561 บริษัทโกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (GGC)ได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมท างเศรษฐกิจสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาให้ดำเนินคดีอาญากับผู้บริหารของบริษัทโกลบอล กรีน เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ( GGC) ฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา กรณีตรวจพบหลักฐานว่าระหว่างปี พ.ศ.2557 - พ.ศ.2561 ได้กระทำการทุจริตสั่งซื้อน้ำมันปาล์มดิบแล้วออกใบรับสินค้าโดยยังไม่ได้รับสินค้าทำให้บริษัท โกลบอลกรีนฯ จ่ายเงินค่าสินค้าให้กับบริษัทคู่ค้ามีมูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 2,078,760,000 บาท โดยกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้รับคดีอาญาดังกล่าวไว้ทำการสอบสวน

2. ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และลาดหลักทรัพย์ได้มีหนังสือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ดำเนินคดีอาญากับผู้บริหารของบริษัทโกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด(มหาชน) (GGC) และผู้เกี่ยวข้อง เนื่องจากตรวจสอบพบพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า กรรมการผู้มีอำนาจหรือผู้บริหารของบริษัท โกลบอลกรีนฯ ในขณะเกิดเหตุ กระทำการเข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 นมีข้อเท็จจริงแห่งคดีเดียวกัน จึงรวมการสอบสวนเป็นสำนวนการสอบสวนเดียว

3. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจได้มีหนังสือลงวันที่11 ตุลาคม 2566 ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่งเรื่องตามข้อ 1 และข้อ 2 มาเพื่อพิจารณาตามอำนาจหน้าที่เนื่องจากได้มีประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2565  เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง ( 1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษพ.ศ.2547 ข้อ 4 ประกอบบัญชีท้ายประกาศฯ ข้อ 11 กำหนดให้คดีความผิดที่มีโทษตามมาตรา 281/2วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (กรรมการหรือผู้บริหารบริษัทไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความระมัดระวัง และความสุจริต จนเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย) กรณี ที่มีมูลค่าความเสียหายตั้งแต่หนึ่งร้อยล้านบาทขึ้นไป ที่มีความซับซ้อนหรือมีผลกระทบต่อประเทศในมิติต่างๆ ตามที่กำหนดในมาตรา 21 ของกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ เป็นอำนาจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่จะมี
คำสั่งให้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษ

4.รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ พิจารณาพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงต่างๆ จากสำนวนการสอบสวนของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและที่เจ้าห น้าที่รวมรวมเพิ่มเติมตามที่เสนอมาแล้วเห็นว่ามีเหตุตามกฎหมายเนื่องจากปรากฏมูลค่าความเสียหายถึง 2,078, 760,000 บาท และเป็นคดีที่มีความซับซ้อนมีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจหรือการคลังของประเทศ จึงมีคำสั่งเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2566ที่ผ่านมาให้ทำการสอบสวนคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

อนึ่ง ภายหลังจากมีการส่งมอบสำนวนการสอบสวนเป็นที่เรียบร้อย ข้อบังคับกรรมการคดีพิเศษว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่ในคดีพิเศษระหว่างหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง พ.ศ. 2547 กำหนดให้ต้องมีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างพนักงานสอบสวนผู้ทำการสอบสวนมาแต่เดิมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเกี่ยวกับรายละเอียดที่ได้ดำเนินการไปแล้วเพื่อให้เกิดการประส านความร่วมมือ รวมทั้งตามมาตรา 22 วรรคท้ายของกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ ยังกำหนดให้สำนวนการสอบสวนที่ส่งมอบมานั้นเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษ จึงทำให้พยานหลักฐานทุกประการที่ดำเนินการมาแล้วต้องถูกนำมาประกอบการพิจารณาจนตลอดกระบวนการยุติธรรม อันเป็นกระบวนการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ 

ในทางกลับกันหากพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระ ทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจยังทำการสอบสวนต่อไปโดยไม่ส่งมอบมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ย่อมเป็นการสอบสวนที่ปราศจากอำนาจตามกฎหมาย เป็นเหตุให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลไปด้วย เนื่องจากคดีพิเศษจะต้องสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547

และหากต่อมาการสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบว่าเป็นคดีที่มีการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะ"พนักงานสอบสวน" ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องดังกล่าว จะเป็นผู้ส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป จึงจำเป็นต้องชี้แจงและสื่อสารมายังสาธารณชนเพื่อทราบโดยทั่วกัน.