'ประพันธุ์ คูณมี'ปัดให้ข่าวสื่อนอกส.ว.ไม่มีหน้าที่ฟังเสียงประชาชน
ส.ว.ประพันธุ์ คูณมี ยืนยันไม่เคยให้ข่าวกับ The Japan Times กรณีนำเสนอข้อความ"ส.ว.ไม่มีหน้าที่ฟังเสียงประชาชน" พร้อมเปิดบทสัมภาษณ์ที่ให้ไว้กับบลูมเบิร์กต่อกรณีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯอย่างละเอียด
นายประพันธุ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กชี้แจงกรณีสื่อแห่งหนึ่ง (https://www.thaich8.com/news_detail/126346) รายงานข่าวอ้างว่า นายประพันธุ์ ได้ให้สัมภษณ์กับ The Japan Times ด้วยข้อความว่า "ส.ว.ไม่มีหน้าที่ฟังเสียงประชาชนแม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลจะได้คะแนนถึง 100 ล้านเสียงก็จะไม่โหวตให้ เพราะไม่ชอบ" โดยมีเนื้อหาดังนี้
"ข่าวดังกล่าว เป็นข่าวปลอมครับ ผมไม่เคยพูดตามข้อความดังกล่าว และไม่เคยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวนี้แต่อย่างใด เป็นวิธีสกปรกของพวกด้อมส้ม"
นายประพันธุ์ ชี้แจงเพิ่มเติมผ่านเฟซบุ๊กว่า นี่คือเนื้อหาข่าวที่ผมให้สัมภาษณ์ กับสำนักข่าว Bloomberg ซึ่งผมไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว The Japan Times แต่อย่างใด
ส่วนคำแปลภาษาไทยเกี่ยวกับเนื้อข่าว ที่ Bloomberg รายงาน แปลได้ความเป็น ดังนี้.... มิใช่ข้อความตามที่พวกด้อมส้มเอามาเผยแพร่ข้อมูล โดยตัดต่อ และบิดเบือน ในโลกโซเชียลให้คนเข้าใจผิดตามที่ปรากฎแต่อย่างใด
เนื้อหาคำแปลภาษาไทย จาก Bloomberg
"เรื่องที่ท้าทายพิธาเวลานี้มากที่สุด คือ กรณี 250 วุฒิสมาชิกซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ตั้งโดยกลุ่มทหารผู้มีความจงรักภักดีภายหลังการก่อรัฐประหารในปี 2014 (พ.ศ. 2557) คนเหล่านี้จำนวนมาก ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ “พิธา” ที่ให้มีการลดหย่อนผ่อนโทษ ผู้ที่ กระทำความผิดในการวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ และดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ ไม่ได้ใยดีเลยสักนิดเดียวว่าเขา (พิธา) คือ ผู้ชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงมากที่สุด
ประพันธ์ คูณมี กล่าวว่า “มันไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะต้องไปรับฟังเสียงของใครต่อใคร” (คนแปลภาษาไทย แปลเพี้ยนไปครับ เพราะเวลาเรา generalization ว่าเป็น “คนกลุ่มใหญ่ หรือคนทั่วๆ ไป” เราจะไม่ใช้ the people การใช้คำว่า the people ตามหลักไวยากรณ์ หมายถึง เฉพาะคนกลุ่มที่ผู้พูดต้องการจะพูดถึงเท่านั้น)
ประพันธ์ คูณมี วุฒิสมาชิกด้านกฎหมาย ยังกล่าวขณะให้สัมภาษณ์อีกว่า ร้อยละเก้าสิบของ สว .ได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว “ต่อให้คุณมีร้อยล้านเสียง ผมก็จะไม่เลือกคุณหากเป็นคนที่ผมไม่ชอบหรือมีคุณสมบัติไม่เหมาะสม” ความไม่ชัดเจนตรงนี้ส่งผลกระทบไปยังตลาดธุรกิจการค้าของประเทศไทยและนักลงทุนต่างชาติ ดัชนีหุ้นตลาดหลักทรัพย์ของประเทศระส่ำระสายอย่างหนักในปีนี้ ร่วงไปแล้วกว่าร้อยละสิบสอง และมีทีท่าจะดำดิ่งลงสู่ระดับต่ำสุดนับแต่ปี 2021 (พ.ศ. 2563)
(กรุณาอ่านเพิ่มเติม : การพูดคุยหาข้อตกลงที่ลากยาวจะส่งผลอย่างไรต่อการช่วงชิงกันเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย)
พิธา เอง ลดกระแสความไม่แน่นอนและแสวงหาทางสร้างความมั่นใจให้กับผู้ให้การสนับสนุนว่า อย่างไรแล้วเขาจะต้องได้เป็นผู้นำรัฐบาลในครั้งนี้อย่างแน่นอน การส่งสัญญาณดังกล่าวเห็นได้จากการจัดประชุมหลายครั้งกับนักธุรกิจกลุ่มต่างๆ โดยเขากล่าวถึงระยะเปลี่ยนผ่านของอำนาจรัฐมายังตัวเขา และเรื่องว่าด้วย “หนึ่งร้อยวันแรกของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี”
“พวกเรากำลังทำงานอย่างหนักในการทำลายกำแพง และมีความขมักเขม้นแข็งขันในการทำความเข้าใจกับสองสภา พิธาฯ ได้กล่าวประโยคนี้ที่รัฐสภาฯ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา “มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง”
เขายังกล่าวเสริมด้วยว่า “เขามั่นใจว่าจะมีเสียงสนับสนุนเพียงพอ” เวลานี้เขายังต้องการอีก 64 เสียง เพื่อสนับสนุนให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรี
ดูเหมือนว่า พิธา กำลังสร้างแรงกระเพื่อมและสะท้อนให้เห็นว่า ไม่มีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ด้วยความหวังอย่างยิ่งว่า จะเป็นแรงกดดันไปยงบรรดาวุฒิสมาชิกให้หันมาสนับสนุนเขา (เป็นคำกล่าวของ ปีเตอร์ มัฟฟอร์ด จากกลุ่มงานเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และหัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ “ยูเรเซียกรุ๊ป” แต่ดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์ที่ใช้ยังห่างไกลความเป็นจริงอีกมาก”
การอยู่ในฐานะ “ว่าที่นายกรัฐมนตรี” ในขณะนี้ของพิธามีส่วนช่วยกระตุ้นและแรงเสริมให้กับผู้ให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกล ซึ่งใช้การกดดันบรรดา วุฒิสมาชิก ผ่านการรณรงค์ออนไลน์ การอภิปรายสาธารณะ และการเดินประท้วงตามท้องถนนเพื่อยืนยันการให้การสนับสนุนของพวกเขาต่อตัว “พิธา” แต่ดูเหมือน “เสียงเรียกร้องเหล่านี้จะไม่ได้ผลเพราะบรรดาวุฒิสมาชิกส่วนใหญ่ค่อนข้างเก็บตัวเงียบและไม่ได้ออกมาแสดงความเห็นใดๆ ในที่สาธารณะว่าพวกเขาจะให้การสนับสนุนพิธาหรือไม่อย่างไร
วุฒิสมาชิกหลายท่าน ยังคงต่อต้านการเข้ามามีอำนาจของ “พิธา” ด้วยความเห็นที่ส่วนใหญ่มองไปที่แนวทางจุดยืนของพรรคก้าวไกลที่ต้องการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในการลดโทษต่อผู้กล่าวหาจาบจ้วงพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์
บรรดาวุฒิสมาชิกไม่เห็นด้วยกับความไม่เคารพสถาบันฯ รวมทั้งแผนการณ์ที่จะมีการปฎิรูปและถอนรากถอนโคนปัญหาต่างๆ ในสังคมไทย ทั้งนี้ วุฒิสมาชิก ประพันธ์ (วัย 69 ปี) กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้”พิธา ได้ปฎิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว “เขาบอกว่าเขาเพียงพยายามจะปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์และราชวงศ์กับประชาชน”
ความเห็นของพิธาดังกล่าว ขีดเส้นใต้ให้เห็นถึงความประหลาดพิลึกกึกกือที่ถาโถมเข้าใส่พิธาและเหล่าพรรคร่วมฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยว่ามีมากแค่ไหน ยิ่งกว่านั้น เมื่อพรรคก้าวไกลได้กล่าวกับพันธมิตรของตัวเองที่อยู่ผ่ายอนุรักษ์นิยมว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะชนะได้อย่างเด็ดขาดคือการได้เสียงสนับสนุนจากบรรดา สว. ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เรื่องลับๆ ที่ไม่ได้เปิดเผยเป็นการทั่วไป คือ พรรคก้าวไกลได้ส่งบรรดาแกนนำพรรคคนสำคัญให้ติดต่อเข้าหาบรรดาวุฒิสมาชิกโดยตรงเป็นรายบุคคล อีกทั้งยังอาศัยสายสัมพันธ์ในเชิงมิตรภาพส่วนบุคคล ความเป็นเครือญาติความใกล้ชิดของบรรดาผู้เกี่ยวข้องให้ช่วยทำให้แนวทางของก้าวไกลประสบความสำเร็จ
พริษฐ์ วัชรสินธุ์ ในฐานะผู้จัดการฝ่ายการรณรงค์ฯ ได้กล่าวว่า “เวลานี้เราใช้ทุกวิถีทางที่มีในการติดต่อสื่อสารกับบรรดาวุฒิสมาชิกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” ตัวพริษฐ์ฯ เองเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในคณะเจรจากับบรรดาวุฒิสมาชิก"


