posttoday

“กวิน กลองกระโทก” พลิกชีวิต จาก พนักงานประจำ สู่ เจ้าของ WashXpress ในตลาดหุ้น

21 ธันวาคม 2568

“กวิน กลองกระโทก” พนักงานประจำ เข้าสู่ธุรกิจร้านสะดวกซัก ด้วยการนำแบรนด์แฟรนไชส์จากมาเลเซียเข้ามาทดลอง เพื่อหา Passive Income สู่เจ้าของแบรนด์ร้านสะดวกของตัวเอง “WashXpress” และใช้เวลาเพียง 7 ปี เข้าตลาดหุ้น

KEY

POINTS

  • กวิน กลองกระโทก เริ่มต้นธุรกิจร้านสะดวกซักจากแนวคิดที่ต้องการสร้างธุรกิจที่ใช้คนน้อยและอยู่รอดได้ในทุกสภาวะเศรษฐกิจ
  • ตัดสินใจสร้างแบรนด์ WashXpress ของตัวเอง หลังจากพบปัญหาด้านมาตรฐานความสะอาด การซ่อมบำรุง และการบริการลูกค้าจากการทำแฟรนไชส์ในช่วงแรก
  • นำพา WashXpress เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยโมเดลขยายสาขาเองเพื่อควบคุมคุณภาพ จนสามารถนำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จในเวลา 7 ปี

เรื่องราวการพลิกเกมธุรกิจของ “กวิน กลองกระโทก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ลอนดรี้ ยู จำกัด (มหาชน) หรือ WASH นักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ผู้บุกเบิกตลาดร้านสะดวกซักครบวงจรในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ WashXpress 

จุดเริ่มต้นจากโจทย์ธุรกิจที่ต้องใช้คนน้อย-อยู่รอดทุกเศรษฐกิจ

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นจากมิตรภาพของเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย “กวิน” และหุ้นส่วนมักจะนั่งคุยกันเรื่องการทำธุรกิจ โดยมีโจทย์หลัก 2 ข้อ ในใจเสมอ คือ 1.ต้องเป็นธุรกิจที่ ใช้คนน้อย เพื่อหลีกเลี่ยงความปวดหัวเรื่องการบริหารคน และ 2.ต้องเป็นธุรกิจที่ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ผู้คนก็ยังต้องใช้บริการอยู่

จังหวะชีวิตได้นำพาพวกเขาไปพบกับคำตอบ เมื่อเพื่อนของ “กวิน” ซึ่งทำธุรกิจอพาร์ตเมนต์ให้เช่า มีเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญกว่า 50-60 เครื่องอยู่ใต้ตึกอพาร์ตเมนต์ แม้รายได้จะดี แต่ปัญหาหลักคือเครื่องซักผ้า เสียบ่อย พังบ่อย เพื่อนจึงมองหาเครื่องที่ทนทานมากขึ้น และบังเอิญเห็นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักจากมาเลเซียมาเปิดอยู่หน้าหมู่บ้าน

แม้ว่าตอนขับรถผ่านจะดูเหมือนไม่มีลูกค้าใช้บริการมากนัก ซึ่งภายหลังพบว่าเป็นช่วงเวลา Off-peak เนื่องจากช่วง Peak out คือหลังเลิกงาน 19.00-20.00 น. แต่ที่น่าสนใจคือ เครื่องซักผ้าของแฟรนไชส์นี้มีความทนทานสูง

พวกเขาจึงตัดสินใจบินไปศึกษาดูงานที่มาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดร้านสะดวกซักที่มีมาก่อนประเทศไทยถึง 9-10 ปี ที่นั่นพวกเขาได้เห็นร้านที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเปิดมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่เครื่องยังดูใหม่และใช้งานได้ดี นี่คือจุดที่ทำให้ “กวิน” ตระหนักว่า ธุรกิจร้านสะดวกซักตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในการ เพิ่มความสะดวกสบาย ประหยัดเวลา และมีความสะดวกมากขึ้น

บทเรียนจากแฟรนไชส์ แก้ Pain Point สู่แบรนด์ของตัวเอง 

ในช่วงแรก “กวิน” เข้าสู่ธุรกิจนี้ ในช่วงที่เป็นพนักงานประจำ โดยคิดว่าเป็น Passive Income เหมือนกับนักลงทุนที่ทำอพาร์ตเมนต์หรือหอพัก และได้ตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์จากมาเลเซียมาเปิด การเปิดร้านนั้นไม่ยาก มีผู้รับเหมาและแบบร้านที่ชัดเจน แต่สิ่งที่ท้าทายกลับกลายเป็นการบริหารจัดการร้านให้ได้มาตรฐาน แม้จะเป็นธุรกิจที่ใช้คนน้อยก็ตาม

ไม่นานพวกเขาก็เจอ “Pain Point” สำคัญ 3 ประการ ที่ทำให้ต้องตัดสินใจเปลี่ยนมาสร้างแบรนด์ของตัวเอง

1.ปัญหาด้านมาตรฐานความสะอาด ในขณะที่ใช้ระบบแฟรนไชส์ การควบคุมความสะอาดทำได้ยากเนื่องจากระบบการจัดการแม่บ้านไม่สม่ำเสมอ บางวันทำบางวันไม่ทำ ส่งผลให้ร้านและเครื่องซักผ้าสกปรก ซึ่งความสะอาดถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของธุรกิจนี้ เมื่อร้านไม่สะอาดลูกค้าก็ไม่กล้าเข้าและค่อย ๆ ลดจำนวนลง

2.ความล่าช้าในการซ่อมบำรุง (Maintenance) เครื่องจักรคือหัวใจหลักในการสร้างรายได้ แต่เมื่อเครื่องเสีย ระบบของแฟรนไชส์กลับใช้เวลานานในการซ่อมบำรุง บางครั้งต้องรอเป็นเดือน ทำให้เจ้าของธุรกิจเสียโอกาสในการทำรายได้ไปอย่างน่าเสียดาย

3.การบริการลูกค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อลูกค้าประสบปัญหาหน้างานแล้วไม่สามารถติดต่อ Call Center ของแฟรนไชส์ไม่มีผู้รับสาย จะสร้างความไม่พึงพอใจอย่างมากจนลูกค้าไม่อยากกลับมาใช้บริการอีก

นอกจากปัญหาหลักทั้ง 3 ข้อแล้ว ยังมีอุปสรรคด้าน ระบบหลังบ้านของแฟรนไชส์ที่ไม่รองรับการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้ทันตามความต้องการของธุรกิจ

ด้วยความตั้งใจที่อยากให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงตัดสินใจพัฒนาแบรนด์ของตัวเองเพื่อ ปิดจุดอ่อน เหล่านี้ นั่นคือที่มาของ WashXpress

จุดเด่นของร้านสะดวกซักครบวงจร WashXpress

  • ควบคุมมาตรฐานความสะอาดและคุณภาพได้ทุกสาขา เพราะบริหารจัดการเองทั้งหมด ไม่ได้ปล่อยให้เป็นภาระของแฟรนไชส์
  • พัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง เช่น การมีทีม IT Developer เพื่อสร้างแอปพลิเคชันสำหรับลูกค้าและระบบควบคุมคุณภาพสำหรับพนักงาน ซึ่งช่วยปิดจุดอ่อนเรื่องความสะดวกและการดูแลลูกค้า
  • สร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่ง โดยสามารถปรับปรุงทำเล พื้นที่จอดรถ หรือพื้นที่นั่งรอให้ดีกว่ามาตรฐานทั่วไปได้ตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่

กลยุทธ์ “บ้าลูกค้า” และการขยายตลาด

WashXpress เติบโตด้วยหลักการสำคัญคือ การ “นึกถึงลูกค้าก่อนเสมอ” ผู้ก่อตั้งทั้ง 4 คน ถึงกับใช้คำว่า “บ้าลูกค้า” เพราะพวกเขาจะหงุดหงิดมาก หากลูกค้าไม่แฮปปี้หรือไม่พอใจ และจะพยายามแก้ไขปัญหานั้นให้ได้ ในช่วงแรก พวกเขาจะลงไปอยู่หน้าร้านเพื่อรับฟัง Feedback จากลูกค้าโดยตรง เพื่อนำมาปรับปรุง

4 ผู้ร่วมก่อตั้ง WashXpress

การทดลองตลาด ธุรกิจนี้ใน 7-8 ปีก่อน ยังเป็นเรื่องใหม่ในไทย WashXpress จึงเริ่มต้นด้วยการ ทดลองเปิด 5 สาขาในทำเลที่หลากหลาย เช่น โซนนักศึกษา โซนชาวบ้าน โซนอพาร์ตเมนต์ และโซนโรงงาน พวกเขาใช้เวลาประมาณ 6 เดือน เพื่อดูผลกำไรและการตอบรับ ก่อนจะรู้ว่าทำเลแบบไหนที่สามารถขยายต่อไปได้

การตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า สิ่งที่ค้นพบคือ แม้แต่ลูกค้าที่อาศัยอยู่ในบ้านเดี่ยวและมีเครื่องซักผ้าอยู่แล้ว ก็ยังมาใช้บริการ WashXpress เพราะเครื่องซักผ้าที่บ้านมักมีขนาดเล็ก ไม่สามารถซักผ้าห่ม ผ้านวมผืนใหญ่ให้สะอาดได้ นอกจากนี้ ลูกค้ายังต้องการบริการอบผ้า ซึ่งช่วยแก้ปัญหาเรื่องการตากผ้าไม่แห้งในหน้าฝน และที่สำคัญกว่านั้น คือการหลีกเลี่ยงมลภาวะและฝุ่น PM 2.5 ที่จะมาเกาะผ้าหากนำไปตากแดด การอบผ้าจึงช่วยลดอาการภูมิแพ้และส่งผลให้สุขภาพดีขึ้น

  • เวลาที่รวดเร็ว การซัก 25 นาที และอบ 25 นาที ใช้เวลารวมเพียง 50 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ทำให้ประหยัดเวลาอย่างมาก
  • การทดลองใช้ กลยุทธ์ดึงดูดลูกค้าคือการให้มาทดลองใช้บริการ โดยมีโปรโมชั่น “ซักฟรี 7 วัน” ในช่วงเปิดร้าน เพื่อให้คนบริเวณนั้นได้สัมผัสความสะดวกสบาย และเมื่อใช้แล้วติดใจก็จะกลับมาใช้ซ้ำ

ความสำเร็จและเป้าหมายในอนาคต

จากข้อมูลของบริษัท Alliance Laundry Systems ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องซักผ้าชั้นนำ ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีร้านสะดวกซักรวมทั้งหมดกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ (รวมธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ และแบรนด์ท้องถิ่น หรือ Local Brand)

ในส่วนของ WashXpress ปัจจุบันมีจำนวนสาขากว่า 500 สาขา คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ประมาณ 10% ของทั้งประเทศ

โดย WashXpress ขยายสาขาไปแล้วกว่า 22 จังหวัด หลัก ๆ ประมาณ 55% อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนที่เหลือจะเป็นพื้นที่ภาคตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) และภาคกลาง เพิ่งเริ่มไปขยายไปยังภาคใต้ และปี 2569 จะขยายไปยังภาคเหนือ 
 
WashXpress ถือเป็นหนึ่งในแบรนด์ของคนไทยระดับแนวหน้าที่สามารถสร้างการเติบโตจนนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ หลังจากดำเนินธุรกิจมาเพียง 7 ปี เท่านั้น   

ที่มาสัญลักษณ์ของ WashXpress ธุรกิจร้านสะดวกซัก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกใช้รูปสัตว์น้ำ ทาง WashXpress จึงต้องการสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้บริโภคเห็นโลโก้แล้วจดจำแบรนด์ได้ทันที จึงตัดสินใจเลือกใช้ “พี่วัว” เป็นสัญลักษณ์ ที่สะท้อนความแข็งแรง และความเป็นมิตร (Friendly)

ผลลัพธ์ทางการตลาด โลโก้พี่วัวประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างการจดจำ จนกลายเป็น Gimmick สำคัญ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มักจะจำชื่อภาษาอังกฤษอย่าง “WashXpress” ไม่ได้ แต่จะเรียกติดปากกันว่า “ร้านพี่วัว” แทน

สัญลักษณ์พี่วัวจึงไม่ใช่แค่โลโก้ แต่เป็นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เน้นการเข้าถึงง่ายและความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

กุญแจสู่ความสำเร็จในการ Scale Up การเติบโตนี้มาจากการทำทุกอย่างให้ “ถูกต้อง” ตั้งแต่ต้น ทั้งในด้านบัญชี ภาษี และระบบการจัดการ และที่สำคัญคือการทำธุรกิจที่ สามารถ Scale ได้ โดยมี SOP (Standard Operating Procedure) และระบบจัดการที่ดี ทำให้สามารถ “Copy Place” สาขาไปเปิดในที่ต่างๆ โดยที่ยังคงคุณภาพไว้ได้

การควบคุมคุณภาพ WashXpress เลือกโมเดลที่ ขยายสาขาของตัวเองเป็นหลัก และไม่ขายแฟรนไชส์ เหตุผลหลักคือเพื่อรักษามาตรฐานและควบคุมคุณภาพของทุกสาขาได้อย่างสมบูรณ์ ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

WashXpress ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คือการทำตาม Vision ขององค์กร “ต้องการทำให้การซักผ้าเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน”

“กวิน” ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของตลาดร้านสะดวกซัก ระบุว่า หลายคนมองว่าธุรกิจร้านสะดวกซักเข้าสู่ภาวะ Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง ตลาดเต็มแล้ว และไม่มีการเติบโตอีกต่อไป แต่มันจะเป็น Red Ocean สำหรับคนที่มองว่าธุรกิจนี้เป็น Passive Income เท่านั้น เพราะในความเป็นจริง ทุกธุรกิจ รวมถึงร้านสะดวกซัก ต้องอาศัยความใส่ใจและการลงรายละเอียด หากปล่อยปละละเลย เพราะคิดว่าเป็นเสือนอนกิน ก็จะพบกับการแข่งขันที่ยากลำบาก

ในทางกลับกัน “กวิน” มองว่าธุรกิจนี้ยังเป็น Blue Ocean สำหรับ WashXpress เนื่องจากเขามองเห็น โอกาสในการขยายสาขาได้อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในทำเลที่มีร้านสะดวกซักท้องถิ่นอยู่แล้ว หรือในทำเลที่ยังไม่มีผู้เล่นเข้าไปจับจอง

“กวิน กลองกระโทก” พลิกชีวิต จาก พนักงานประจำ สู่ เจ้าของ WashXpress ในตลาดหุ้น

พวกเขาได้เพิ่มบริการใหม่ๆ เพื่อความง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น บริการ “ซัก อบ พับ” ที่ลูกค้าสามารถฝากผ้าและรับกลับไปใช้ได้เลย และกำลังทดลองบริการ “รีดผ้า” รวมถึงวางแผนจะทดลอง “บริการ Delivery รับส่งผ้าถึงบ้าน” ในอนาคต

ความสำเร็จของ WashXpress จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องจักรที่ทนทาน แต่คือการทำธุรกิจด้วยความใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่การใช้ไฟ Daylight ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบาย ไปจนถึงการกรองน้ำเพื่อให้ผ้าสะอาดที่สุด นี่คือหลักการที่ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้นำในตลาดร้านสะดวกซักครบวงจร

ข่าวล่าสุด

เปิด Top 3 ดวงขึ้นแรงสุด 12 นักษัตร นักธุรกิจ ใครปัง รับปีม้าไฟ