posttoday

ตั้งรัฐบาล66:เรืองไกร จี้ พิธา ตอบให้ชัดขายหุ้นไอทีวีทิ้ง จริงหรือไม่

06 มิถุนายน 2566

เรืองไกร หอบหลักฐานเพิ่ม พิธา ถือหุ้นไอทีวี จี้ กกต.ตรวจสอบ คำสั่งศาล สัญญาร่วมงานไอทีวียังมีผลหรือไม่ สงสัย พิธา ขายหุ้นทิ้ง หลังสมัครรับเลือกตั้ง ไล่บี้ แสดงหลักฐานชี้แจงให้ชัด ไม่ต้องรอ เรียกมาสอบ ย้ำชัด หากผิดจริง อาจโดนตัดสิทธิ์ส.ส.

วันที่6มิ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เข้ายื่นหลักฐานเพิ่มเติม กรณีการถือหุ้นสื่อของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พร้อมนำหลักฐานบางส่วนจากคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ที่อาจทำให้เห็นได้ว่า คำวินิจฉัยชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.) บอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงานกับไอทีวีโดยไม่มีสิทธิหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลปกครองกลาง เห็นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย จึงขอให้กกต.ตรวจสอบว่า สัญญาเข้าร่วมงาน ยังควรถือว่ามีผลอยู่หรือไม่

นายเรืองไกรกล่าวว่า ตนยื่นคำร้องเพิ่มคือที่มีกระแสข่าว นายพิธา ได้ขายหุ้นสื่อไอทีวีไปแล้วนั้น แต่นายพิธาไม่ตอบคำถามสื่อมวลชน ตนมั่นใจว่า ในวันรับสมัครเลือกตั้ง นายพิธายังถือหุ้นสื่ออยู่แน่นอน อยากให้ กกต. สอบถามไปยังบริษัทไอทีวีว่า นายพิธายังถือหุ้นไอทีวีหรือไม่ หรือมีการโอนหุ้นด้วยวิธีใด

"ขอเรียกร้องให้นายพิธา ได้ตอบคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงเรื่องนี้และขอให้แสดงหลักฐาน โดยไม่ต้องรอให้ กกต. รับรองคำร้องของตน หรือรอให้ กกต. เรียกมาสอบถาม หากเรื่องนี้ถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้วตัดสินว่านายพิธา ถือหุ้นสื่อจริง นายพิธาจะถูกตัดสิทธิ์การเป็น ส.ส. และถูกตัดสิทธิ์บัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรี"นายเรืองไกรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนายเรืองไกร ยื่นหลักฐานเพิ่มเติม นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ พร้อมด้วยนายวีรวิทย์ รุ่งเรืองศิริผล หรือลุงศักดิ์เสื้อแดง ได้เดินทางมาเข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. เพื่อคัดค้านคำร้องของนายเรืองไกร และคำร้องของบุคคลอื่น กรณี ที่มีการร้องขอให้ กกต. ตรวจสอบ การถือหุ้นสื่อของนายพิธา

นายภัทรพงศ์ กล่าวว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 98 (3) และ ม.42(3)  เพื่อไม่ให้ผู้สมัคร ส.ส. ที่ถือหุ้นสื่อ ใช้ประโยชน์ในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง และสัดส่วนหุ้นที่นายพิธาถืออยู่จำนวน 42,000 หุ้น เป็นสัดส่วนที่น้อยและไม่ได้มีอำนาจในการสั่งการใดๆ ในการ ให้นำเสนอข้อมูลข่าวสารเพื่อประโยชน์ทางการเมือง บริษัทไอทีวี ได้หยุดประกอบกิจการไปแล้วตั้งแต่ปีพ.ศ. 2550 ตามคำสั่งของสปน. จึงมาร้อง กกต. เพื่อหวังให้ กกต. ตีตกคำร้องของนายเรืองไกร เหมือนการตีตกคำร้องของนายศรีสุวรรณที่ร้องเรียน เรื่องนโยบายเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยไปก่อนหน้านี้ ไม่มีประโยชน์ส่วนตัวและหวังว่า กกต. จะนำเรื่องนี้มาพิจารณา