ศาลแพ่งสั่งตร.คุมม็อบปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสื่อ
ศาลแพ่งสั่งตำรวจใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมและสลายการชุมนุม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสื่อมวลชน ชี้โจทก์ฟ้องคดีในฐานะสื่อมวลชนไม่อาจร้องขอคุ้มครองชั่วคราวแทนผู้ร่วมชุมนุมได้
เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 64 ศาลแพ่งนัดฟังคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่ กรณีภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน พร้อมด้วยสื่อมวลชน 3 สำนัก ที่อ้างว่าได้รับบาดเจ็บจากการใช้ยิงกระสุนยางของตำรวจ เมื่อวันที่ 7 ส.ค.64 ได้ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับพวกรวม 4 คน โดยขอให้ศาลแพ่งคุ้มครองชั่วคราว
ล่าสุดศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้ "สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมและสลายการชุมนุม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชน ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน”
สำหรับเนื้อหาในการพิจารณาของศาลมีดังนี้
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๔ โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินในคดีหมายเลขดำที่ พ๓๖๘๓/๒๕๖๔ ระหว่างนายธนาพงศ์ เกิ่งไพบูลย์ กับพวกรวม ๒ คน กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม ๔ คน และศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ นาฬิกา นั้น
นี้บัดศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ พ๓๖๘๓/๒๕๖๔ ได้ออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานแล้วมีคำสั่งอันสรุปใจความได้ว่า “ที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางใส่โจทก์ทั้งสอง สื่อมวลชนอื่น และประชาชนที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิตบุคคลอื่น และขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ ๑ และเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนสลายการชุมนุมโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่กฎหมาย และหลักการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.๒๕๕๘ นั้น
พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ มาตรา ๓ (๖) กำหนดมิให้ใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวแก่การชุมนุมสาธารณะในระหว่างเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น ซึ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีเจตนารมณ์ให้อำนาจฝ่ายบริหารมีอำนาจพิเศษบางประการสำหรับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งรวมถึงการออกประกาศและข้อกำหนดเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว โดยเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดซึ่งออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๑๕) ข้อ ๓ ห้ามชุมนุม ทำกิจกรรมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดๆในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่การใช้อำนาจดังกล่าวไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการหากการใช้อำนาจของรัฐเป็นไปโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ เกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีจำเป็น ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว
หากมีผู้จัดการชุมนุม หรือผู้ชุมนุมกระทำการอันฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว จำเลยที่ ๑ และเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจในการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการที่เหมาะสมตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง
ดังนั้น กรณีใดมีความจำเป็นในการใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงของผู้ชุมนุมและเหตุการณ์อันอาจเกิดขึ้นในแต่ละครั้งไป ทั้งข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจงใจหรือมุ่งกระทำต่อบุคคลที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนเป็นการเฉพาะ และหากโจทก์ทั้งสอง สื่อมวลชนและประชาชนซึ่งมิได้กระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมายถูกเจ้าพนักงานตำรวจยิงด้วยกระสุนยาง ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญาโดยศาลไม่จำต้องสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอดังกล่าวอีก
ประกอบกับตามที่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ ๑ และเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนสลายการชุมนุมโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่กฎหมาย และหลักการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.๒๕๕๘ นั้นเป็นคำขอให้คุ้มครองผู้เข้าร่วมชุมนุม
เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีในฐานะสื่อมวลชนซึ่งมิได้เป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมจึงไม่อาจร้องขอคุ้มครองชั่วคราวแทนผู้ร่วมชุมนุมได้
ส่วนคำขอที่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนคุกคามข่มขู่ จำกัดพื้นที่การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่นนั้น จำเลยที่ ๑ ต้องปฏิบัติการรักษาความปลอดภัย จึงต้องจัดพื้นที่ให้แก่โจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่นเพื่อให้ได้รับความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองในชั้นนี้ก็มิได้เบิกความว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจำกัดพื้นที่ในการปฏิบัติหน้าที่ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจำกัดพื้นที่ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่น ทั้งโจทก์ทั้งสองก็มิได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลห้ามจำเลยที่ ๑ จำกัดพื้นที่การปฏิบัติงานของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชน โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีดังกล่าวได้
อย่างไรก็ดี ได้ความตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ ๑ โดยเจ้าพนักงานตำรวจใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางในการควบคุมฝูงชนและสลายการชุมนุม เป็นเหตุให้สื่อมวลชนหลายรายซึ่งมิใช่ผู้ร่วมชุมนุมถูกยิงด้วยกระสุนยาง ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและไม่ปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ และเจ้าพนักงานตำรวจยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมฝูงชนและสลายการชุมนุมซึ่งโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่นอาจได้รับอันตรายแก่กายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ กรณีจึงมีเหตุที่จะคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย โจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนด้วย
จึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมและสลายการชุมนุม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชน ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน”


