posttoday

"กองทัพบก"ไม่ต้องชดใช้ ศาลแพ่งยกฟ้องปม "ชัยภูมิ" หนุ่มลาหู่ถูกยิง

26 ตุลาคม 2563

ศาลแพ่งยกฟ้อง "กองทัพบก" ไม่ผิดละเมิด ไม่ต้องชดใช้ ปม "ชัยภูมิ" หนุ่มลาหู่ นักกิจกรรมเยาวชนถูกยิงตาย ด้านแม่-ทนาย เดินหน้าอุทธรณ์คดีต่อ

เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 63 ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ พ.2591/2562 ที่ นางนาปอย ป่าแส อายุ 47 ปี มารดาของนายชัยภูมิ อายุ 21 ปี ผู้ตาย ชาติพันธุ์ลาหู่ซึ่งเป็นนักกิจกรรมเยาวชน มอบอำนาจให้นายไมตรี จำเริญสุขสกุล เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง "กองทัพบก" เป็นจำเลย ในความผิดฐานกระทำละเมิด ให้ชำระค่าเสียหาย ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 จำนวน 4,363,772.26 บาท

โดยคำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 17 มี.ค.60 เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านตรวจ บริเวณบ้านรินหลวง ถนนหมายเลข 1178 สายรินหลวง-แม่นะ หมู่ 3 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ โดยมี จ.ส.ท.ณัฐพล เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ ต่อมาเวลา 10.00 น. มีรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ส สีดำ หมายเลขทะเบียน ขก 3774 เชียงใหม่ มาถึงจุดตรวจ ทหารได้สั่งให้หยุดรถ

จากนั้น จ.ส.ท.ณัฐพล สั่งให้นายพงศนัย แสงตะหล้า คนขับ กับ "นายชัยภูมิ ป่าแส" ซึ่งนั่งโดยสารมาด้วยลงจากรถ โดยทหารร่วมกันตรวจค้นแล้วไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่ยังไม่ยินยอมให้ทั้งคู่ออกจากด่านตรวจจึงเกิดการโต้เถียง และทหารได้ร่วมกันทำร้ายร่างกาย "นายชัยภูมิ" ซึ่งได้ดิ้นรนสะบัดตัวหลุดแล้ววิ่งไปที่ป้อมตำรวจเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ไม่พบใครอยู่บริเวณดังกล่าวจึงวิ่งหนีต่อไป โดยมีทหารวิ่งไล่ตาม ก่อนที่พลฯ สุรศักดิ์ จะใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงใส่ "นายชัยภูมิ" ถูกบริเวณต้นแขนซ้ายด้านนอก และกระสุนปืนแตกทะลุเข้าไปในลำตัว บริเวณสีข้างด้านซ้ายเหนือราวนม กระสุนปืนทำลายเส้นเลือดใหญ่หัวใจและปอด จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย

ภายหลังเหตุการณ์ทหารอ้างว่าสาเหตุที่ต้องยิงเพื่อป้องกันตัวเอง เนื่องจากผู้ตายมีอาวุธคือระเบิดที่จะขว้างใส่ทหารและมียาเสพติดไว้ในครอบครอง ซึ่งความจริงแล้ว "นายชัยภูมิ" ไม่มีระเบิดและยาเสพติด การตายของ "นายชัยภูมิ" เกิดจากการกระทำโดยเจตนาฆ่าของพลฯสุรศักดิ์ กรณีจึงเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดของจำเลย ได้จงใจกระทำการละเมิดต่อผู้ตาย ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยในฐานะผู้บังคับบัญชาและควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่เจ้าหน้าที่ของตนได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่

เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายดังนี้ ค่าปลงศพผู้ตาย , ค่าขาดไร้อุปการะ , ค่าขาดรายได้ในครัวเรือน , ค่าเสียหายต่อชื่อเสียง , และค่าเสียหายต่อจิตใจ ขอให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันกระทำละเมิดวันที่ 17 มี.ค.60 - วันฟ้องที่ 22 พ.ค.62 รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น 4,363,772.26 บาท และให้จำเลยจัดการให้ชื่อเสียงโจทก์กลับคืนดีด้วยการลงประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันด้วยข้อความว่า "นายชัยภูมิ ป่าแส ไม่ได้ใช้อาวุธจะทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร และไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด" โดยให้ "กองทัพบก" จำเลยเป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น รวมทั้งให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมศาลและค่าทนายความแทนโจทก์ด้วย

ซึ่งวันนี้ นางนาปอย โจทก์ เดินทางมาพร้อมญาติ และนายไมตรี จำเริญสุขสกุล ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่ ในฐานะผู้ดูแลนายชัยภูมิ , นายปรีดา นาคผิว ทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และนายรัษฎา มนูรัษฎา ทีมทนายความโจทก์ เพื่อฟังคำพิพากษา

สำหรับผลคำพิพากษานั้น ศาลได้พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์-จำเลยแล้ว เห็นว่า นายชัยภูมิเป็นบุตรของโจทก์ ส่วนเจ้าหน้าที่ทหาร 3 นายได้รับมอบหมายปฏิบัติหน้าที่ โดยยิงนายชัยภูมิ ผู้ตายเสียชีวิต ซึ่งพลทหารฯ ดังกล่าวได้กระทำละเมิดหรือไม่นั้น พยานโจทก์นำสืบในทำนองเดียวกันว่าผู้ตายมีผลการเรียนดี เป็นนักกิจกรรมจิตอาสา เคยเป็นประธานนักเรียน ชอบช่วยเหลือครูและเพื่อน มีความกตัญญู ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ส่วนจำเลยไม่รู้จักผู้ตาย โดยพลทหารฯ พยานจำเลย เบิกความว่าขณะเกิดเหตุตรวจค้นรถยนต์ผู้ตาย เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศพบยาบ้า 2,800 เม็ด

ส่วนพยานจำเลยซึ่งเป็นเพื่อนผู้ตาย สงสัยเรื่องเงินซื้อรถยนต์ของผู้ตาย เมื่อถูกทหารค้นรถยนต์ ผู้ตายไม่ยินยอมให้เปิดฝาหม้อไส้กรองอากาศ พยานจำเลยเชื่อว่าผู้ตายน่าจะรู้เรื่องยาเสพติด ถึงแม้เป็นพยานบอกเล่าแต่เป็นพยานสำคัญที่เป็นเพื่อนนักเรียน ไม่มีเหตุระแวงสงสัย ที่ให้การกับพนักงานสอบสวน เชื่อให้การตามจริง ในส่วนพยานจำเลยที่เป็นเจ้าหน้าที่แจ้งพบบัญชีผู้ตายมีการเคลื่อนไหวเชื่อมโยงเรื่องยาเสพติด บันทึกการโทรศัพท์เกี่ยวกับผู้ต้องหาคดียาเสพติดอีกคดี มีการติดต่อกันหลายครั้ง มีพยานหลักฐานฟังได้ว่าผู้ตายเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ซุกซ่อนในไส้กรองอากาศ

ส่วนประเด็นกล้องวงจรปิด พบมีกล้องวงจรปิดหลายตัวใช้งานได้ มี 9 ตัว เสีย 3 ตัว ไม่พบพิรุธการทำลายกล้องวงจรปิด แต่ไม่พบภาพบันทึกเหตุการณ์ ไม่พบมีการลบ และไม่พบจุดที่ตรวจค้น แต่จำเลยมีทหารเป็นประจักษ์พยาน กับนายพงศนัย แสงตะหล้า เพื่อนผู้ตาย ทำให้รับฟังทดแทนได้ ว่าผู้ตายรู้เห็นการซุกซ่อนยาเสพติด จึงต่อสู้หยิบมีดแล้วหลบหนี ทหารหยิบปืน M16 ยิงลงพื้นก่อน เมื่อวิ่งไล่ตาม ผู้ตายจะขว้างระเบิดใส่ ทหารจึงใช้ M16 ยิงแขนซ้ายผู้ตาย ขณะที่พยานโจทก์เป็นพยานบอกเล่า อยู่ห่างจุดเกิดเหตุ

พิจารณาจุดเกิดเหตุแล้วเป็นพื้นที่โล่ง เวลากลางวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นการจัดฉากวางระเบิดใกล้มือผู้ตาย มีชาวบ้านเห็นนับร้อย การยิงแขนผู้ตายเพื่อหยุดการกระทำ ประจักษ์พยานไม่พบพิรุธสงสัย ทำหน้าที่ติดตามคนร้ายหลบหนีการจับกุมเกี่ยวกับยาเสพติด ปฏิบัติหน้าที่ชายแดนพื้นที่เสี่ยงสูง อาจต้องใช้อาวุธในการต่อสู้ป้องกันและปะทะกับขบวนการค้ายาเสพติด

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของจำเลยว่า ผู้ตายวิ่งหลบหนีและจะใช้ระเบิดขว้างใส่พลทหาร การที่พลทหารยิงผู้ตายเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตัวสมควรแก่เหตุ และมีข้อเท็จจริงแตกต่างกับคดีของนายอะเบ แซ่หมู่ จำเลยนำสืบให้ศาลเห็นได้ตามที่ตนมีภาระการพิสูจน์ การปฏิบัติหน้าที่ของพลทหารไม่ละเมิดโจทก์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังพิพากษา นางนาปอย มารดาผู้ตายในฐานะโจทก์ พร้อมญาติและผู้เกี่ยวข้องที่เดินทางมาให้กำลังใจ ต่างรู้สึกเสียใจกับคำพิพากษา และต้องการที่จะยื่นอุทธรณ์คดีต่อไป โดยนายรัษฎา มนูรัษฎา ทีมทนายความโจทก์ ให้สัมภาษณ์ว่า คดีมีรายละเอียดหลายประเด็น เคารพแต่ไม่เห็นพ้อง จะขออุทธรณ์คดีภายใน 1 เดือน

ประเด็นเจ้าหน้าที่ทหารใช้ปืนยิงนายชัยภูมิเพราะอ้างมีระเบิดนั้น เป็นประเด็นที่สู้มาตลอด โดยศาลหยิบยกคำให้การชั้นสอบสวนของนายพงศนัย แสงตะหล้า ที่นั่งรถมาด้วย วันเกิดเหตุ 17 มี.ค. 2560 แต่ให้การหลังเกิดเหตุสิ้นเดือน มี.ค. ถ้ามาด้วยกันกับผู้ตายและมียาเสพติด ทำไมนายพงศนัยไม่ถูกดำเนินคดี น่าสงสัย ส่วนประเด็นเชื่อมโยงคดียาเสพติดคดีอื่นนั้น เราไม่รู้รายละเอียด ต้องดูรายละเอียดในการอุทธรณ์คดีต่อไป ทางญาติติดใจ และภาพวงจรปิดที่จะบอกได้ว่าเหตุเกิดอย่างไรไม่ปรากฏก็เป็นปัญหา

ด้าน นายไมตรี ประธานกลุ่มรักษ์ลาหู่ ในฐานะผู้ดูแลนายชัยภูมิ เปิดเผยถึงความรู้สึกว่า ช็อก ไม่รู้จะอย่างไร ตนไม่กล้าก้าวก่ายคำตัดสินศาล ประเด็นกล้องวงจรปิดไม่ถูกเปิดเผย บอกไม่ถูกบันทึก ไม่มีข้อมูลในการลบก็จบแล้วหรือ หากกล้องไม่เสียทำไมไม่ถูกบันทึก สุดท้ายผลออกมาขัดกับความรู้สึก คุยกันแล้วเราสามารถยื่นอุทธรณ์สู้ได้ เชื่อมั่นในระบบก็เดินให้สุดทาง