posttoday

เสียงโอดครวญคนทะเลสาบสงขลา แหล่งประมง “เกาะยอ” พังยับ

13 พฤศจิกายน 2553

ไม่เฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เท่านั้นที่น้ำป่าไหลหลากท่วมบ้านเรือนสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวและการค้าจนยังไม่สามารถประเมินค่าได้

ไม่เฉพาะ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เท่านั้นที่น้ำป่าไหลหลากท่วมบ้านเรือนสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจการท่องเที่ยวและการค้าจนยังไม่สามารถประเมินค่าได้


ธนก บังผล

ใน จ.สงขลา ยังมีอีกหลายพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ ไล่เรียงไปตั้งแต่ อ.ระโนด กระแสสินธุ์ สทิงพระ  และสิงหนคร ก็เป็นอีก 4 อำเภอที่อ่วมไปไม่น้อย

ท่ามกลางความเสียหายเหล่านี้ “เกาะยอ” ซึ่งอยู่ติดกับทะเลสาบสงขลา แม้น้ำจะไม่ท่วมบ้านเรือนสูง 2-3 เมตร แต่ความเสียหายจาก “พายุ” ก็ทำให้ชาวบ้านเสียขวัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“ก็อุตส่าห์ขอร้องเขาแล้วว่าอย่าเอาไป แต่เขาใจร้าย ไม่ฟังเราเลย เอาบ้านเราไปหมดเหลือแต่ตอ” ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าทำนองประชดประชัน “เขา” ที่หมายถึงพายุเมื่อคืนวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่่านมา ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่ไร้ความปราณี ทำให้เสาปูนที่เป็นหลักค้ำบ้านเหลือแต่ตอ ส่วนผนัง หลังคา เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่นอน ฯลฯ จมหายลงทะเลไปหมดสิ้น

ชาวบ้านคนเดิม บอกอีกว่า คนบ้านอ่าวทราย หมู่ที่ 1 ต.เกาะยอ เชิงสะพานติณสูลานนท์แห่งนี้ส่วนใหญ่ทำอาชีพประมง เลี้ยงปลากะพง บางคนเลี้ยงไว้ 20 กระชัง มูลค่าความเสียหายอยู่ที่กระชังละ 1 แสนบาท

“เราก็ได้แต่แจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าบ้านเราได้รับความเสียหายจากพายุ บ้านบางหลังเหลือตอไว้ต่างหน้า บ้านบางหลังหายไปกับทะเลหมด โฮมเสตย์บางหลังก็ถูกพายุพัดไม่เหลือชิ้นดี โดยผู้ใหญ่บ้านก็จะเอาเรื่องร้องเรียนนี้ไปแจ้งกับนยายอำเภออีกทีหนึ่ง ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็คือแล้วแต่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ”

ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมาบ้านอ่าวทราย หมู่ 1 เกาะยอแห่งนี้เคยถูกฝนกระหน่ำมาแล้ว ซึ่งคราวนั้นรัฐบาลให้ความช่วยเหลือด้วยการจ่ายเงินฟื้นฟู 1.9 หมื่นบาทต่อหลัง

นับตั้งแต่คืนวันที่ 1 พ.ย. 2553 พื้นที่หมู่ 1 เกาะยอ ได้ถูกตัดขาดกว่าความช่วยเหลือกว่าจะเข้าถึงได้ก็ปาเข้าไปเกือบ 5 วัน ถนนหนทางเต็มไปด้วยต้นไม้ ม้านั่งหินอ่อน ซากเรือ ไม้กระดาน ที่ถูกน้ำพัดมากองจนไม่สามารถเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านได้

“ลมฝนปีนี้มันมาแปลก มันมาจากระโนด ทุกทีเราจะมีภูเขาคอยบังไว้ แต่ปีนี้มันวนเข้าทะเลสาบสงขลานี้ แล้วก็เข้าหาดใหญ่ ” ผู้ได้รับความเสียหาย ระบุ

บรรหาร วรรณโร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 บอกว่า สภาพความเสียหายของชาวบ้านที่อยู่ริมทะเลรวมมีบ้านเรือนหายไปเกือบ 20 หลัง ที่เหลือก็มีแต่ซาก โดยเฉพาะร้านโกเข่ง ที่หายไปทั้งหลังซึ่งถือว่าได้รับผลจากพายุครั้งนี้หนักที่สุด

“ขนำปลากะพงหมดไปเลยเพราะชาวบ้านเลี้ยงปลาไว้ในกระชัง ฝนตกหนักพายุเข้าน้ำมาปลาก็ไปหมดเกลี้ยง ขนำปลาจมน้ำ โฮมสเตย์หายไป 3 หลัง นอกนั้นเสียหายยับ ที่เห็นคนมาตกปลากันเยอะๆ นี่ไม่ใช่คนบ้านหมู่ 1 เลยนะ เป็นคนจากที่อื่นทั้งนั้น ได้ปลากันทั้งวัน แต่คนที่นี่ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรแล้ว”

ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า ผ่านมา 10 กว่าวันแล้ว ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายของลูกบ้านได้เลย หากคิดตามกระชังปลา ก็จะตกอยู่ที่กระชังละประมาณ 1.5 แสนบาท โดยมีชาวบ้านมายื่นขอความช่วยเหลือ 100 กว่าครัวเรือน

“รัฐบาลเขาว่าจะช่วยครัวเรือนละ 2 หมื่นบาท เรื่องความเสียหายจากการเลี้ยงปลากะพงเราต้องไปแจ้งที่ประมงอำเภอ ยังมีเรือที่ชาวบ้านใช้หากินชายฝั่งถูกน้ำซัดจนเรือแตก 10 กว่าลำ ตกแล้วลำละประมาณ 2-3 หมื่นบาท ส่วนบ้านเรือนที่พังนั้นเห็นว่าถ้าเสียหายบางส่วนจะจ่ายให้ 5 พันบาท ถ้าเสียหายทั้งหลังให้ 3 หมื่นบาท ขนำละ 2 พันบาท ที่นี่มันไม่มีหรอกเสียหายบางส่วน มีแต่เสียหายทั้งหลัง แต่ถ้าเป็นร้านอาหารเห็นว่าไม่ช่วยตรงนี้ เจ้าของร้านเขาก็โวยว่าเขาก็เสียภาษีทุกปี ไหนจะเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า ถ้วยชามไปหมด”

“ผมยืนดูพายุอยู่ตรงนี้ แต่ทำอะไรไม่ได้เลย เรือขึ้นมาจอดบนถนนหมด เรื่องความช่วยเหลือผมบอกไม่ถูก ถ้าสร้างขนำให้ใหม่ก็เป็นการดี เรื่องอื่นๆก็ค่อยว่ากันไป”

บรรหาร เอารูปภาพที่ถ่ายไว้วันที่ 17 ธ.ค. 2548 มาให้ดูเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ระดับน้ำอยู่ที่ประมาณ 30 เซ็นติเมตร

“ตอนนี้ก็เริ่มมีการเอาข้าวสารมาแจก แต่ที่นี่เราไม่ได้ขาดแคลนข้าวสาร เงินที่จะจ่ายเป็นค่าฟื้นฟู บ้านที่หายไปนี่ แค่ค่าแรงก็ไม่พอแล้ว 3 หมื่นบาท ยังสร้างบ้านไม่ได้เลย มันไม่มีเสียหายบางส่วนเลย ยังดีที่คนอาศัยในบ้านที่หายไปนั้นยังไปขอพึ่งพาอาศัยกับญาติๆบนบกได้”

นอกจากนี้แล้ว สภาพความเสียหายต่างอำเภอ “สายัณห์ สวัสดิยานนท์” นายก อบต.แดนสงวน จ.สงขลา รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นสรุปว่า ส่วนใหญ่ที่ถูกน้ำท่วมเป็นนาข้าว 8,690 ไร่ จากทั้งหมดในตำบลประมาณ 2-3 หมื่นไร่ ในขณะที่มีบ้านเรือนที่เสียหายลมพัดกระเบื้องปลิวไปประมาณ 200 หลัง

“ที่ได้รับความเสียหายหนักสุดคือ หมู่บ้านมาบเตย หมู่ 3,4 และ 5 บ้านแม่ใหญ่ ด้านประมง ชาวบ้านเลี้ยงปลานิลไว้ได้รับผลกระทบ 64 บ่อ ทั้งนี้เพราะบ้านมาบเตยเป็นพื้นที่รับน้ำจากคลองแม่ใหญ่ ลงสู่ประตูระบายน้ำบางหลอด แต่บางหลอดเองก็เป็นพท้นที่รับน้ำจากหลายตำบลอยู่แล้วทำให้ประตูน้ำมีปริมาณน้ำล้นเยอะ”

นายก อบต.แดนสงวน ชี้แจงต่อไปว่า ได้ให้ความช่วยเหลือโดยการนำกระเบื้อง เหล็ก หลังคา รวมถึงข้าวสารอาหารแห้งไปแจก ใช้แม็คโครเข้าไปขุดลอกคลองระบายน้ำ

“เมื่อปี 2548 น้ำก็ท่วมเยอะอย่างนี้ แต่หลังคาไม่ปลิว ระดับน้ำสูงกว่าปีนี้ ในปี 2553 มีพายุ บ้านเรือนได้รับความเสียหาย โดยภูมิประเทศตรงนี้ทิศตะวันตกเป็นทะเลสาบสงขลา ทิศเหนือต่อกับ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ส่วนทิศตะวันออกติดกับอ่าวไทย ไม่ว่าลมอะไรจะมาเราก็โดนหมด”

สายัณห์ บอกอีกว่า พื้นที่การปลูกข้าวที่ ต.แดนสงวน แล้งติดต่อกันมาหลายปี ก่อนพายุจะมาน้ำในทะเลสาบเค็มเพราะฝนน้อย แต่ขณะนี้เมื่อมีน้ำท่วมทำให้น้ำมีระดับความจืดมาก

“เรารับน้ำมาจาก จ.พัทลุง ผ่านมาทาง อ.สทิงพระ จ.สงขลา แต่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่นี้ก็มีเรื่องดีอยู่เหมือนกันคือ ที่ผ่านมาชาวนาใช้น้ำจากทำเลสาบเป็นหลัก พอน้ำมามากอย่างนี้ก็ทำให้ระบบนิเวศอาจจะดีขึ้นเยอะ”

ทั้งนี้ ความช่วยเหลือจากภาครัฐที่ต้องดูแลงบประมาณการฟื้นฟูให้บ้านเรือน ชุมชน กลับมาคืนสภาพเดิมนั้น ท้ายที่สุดแล้วต้องถูกจำกัดจำเขี่ยกระจายไปยังภัยน้ำท่วมในภาคอีสาน และภาคกลาง

สิ่งหนึ่งที่ชาวบ้าน จ.สงขลา ได้แต่ทำใจคือแม้ได้เงินมาก็ไม่พอที่จะเอามาสร้างบ้านให้พักอาศัยเหมือนดังเดิม นี่ยังไม่นับ เรือ อวน กระชัง ร้านอาหาร โฮมสเตย์ ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านที่หายไปที่ต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ

พายุ และน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ภาคใต้ครั้งนี้จะถูกนำมาเป็นประวัติศาสตร์ศึกษาการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนยาวหรือไม่นั้น หวังว่าชาวบ้านคงไม่ต้องรอให้เกิดเหตุซ้ำอีก              

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด การท่าเรือ พบ ทรู แบงค็อก ช้าง เอฟเอ คัพ วันนี้ 21 ธ.ค.68