ไขปริศนา "ชายหนุ่ม" หลง "แชทลวง" ขาดความรัก-มโนจากภาพสาวสวยจนหมดตัว
เผยสาเหตุ "ผู้ชาย" ตกหลุมพรางแชทออนไลน์ "ถูกลวงเงิน" จนหมดตัว เกิดจากการขาดความรักและภาพความสวยที่ทำให้มโนไปไกล
เผยสาเหตุ "ผู้ชาย" ตกหลุมพรางแชทออนไลน์ "ถูกลวงเงิน" จนหมดตัว เกิดจากการขาดความรักและภาพความสวยที่ทำให้มโนไปไกล
*********************
โดย...รัชพล ธนศุทธิสกุล
ข่าวชายหนุ่มถูกหลอกโอนเงินให้หญิงสาวที่ไม่เคยพบหน้าจนสูญเงินหลักล้านบาท กลายเป็นข่าวดังในสังคมไทยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลายคนตั้งคำถามว่าเหตุใดคำพูดแค่เพียงตัวอักษรผ่านช่องแชท จึงสามารถทำให้ใครคนหนึ่งหลงใหลใครอีกคนจนหมดตัวหมดใจ ยอมโอนเงินให้ได้จำนวนมากมายทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน
ทั้งหมดทั้งมวลมีสาเหตุจากพื้นฐานความต้องการของมนุษย์ที่ขาดความรักและความรู้สึกมีตัวตน และถูกหลักการโน้มน้าวใจในรูป-รส-กลิ่น-เสียง ทำให้ "ชายหนุ่มต้องตกเป็นเหยื่อ"
ที่น่าสนใจคือการสนทนาผ่านข้อความ และเห็นเพียงแค่ภาพนิ่ง กลับทำให้มีโอกาสถูกล่อลวงมากกว่าการเจอหน้ากันจริงๆเสียอีก!!
ขาดความรัก-ความมั่นใจ
คัญฑนิกห์ นิโรธร หัวหน้านักสังคมสงเคราะห์ บ้านพักฉุกเฉิน สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ อธิบายเหตุของบุคลที่ถูกลวงให้เกิดความรักจากการคุยแชทและท้ายที่สุดถูกหลอกให้โอนทรัพย์สิน เกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เมื่อขาดสิ่งใดก็จะแสวงหาสิ่งนั้น โดยเป็นไปตามลำดับขั้นหลักความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ 5 ขั้น ได้แก่
1.ความต้องการด้านร่างกายหรือด้านกายภาพ (Physiological Needs)
2.ความต้องการด้านความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs)
3.ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Belongingness and Love Need) เช่น
4.ความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและความภาคภูมิใจ (Self- Esteem Need)
5.ความต้องการประจักษ์ในตัวเอง (Self-Actualization Needs)
“คนที่ถูกล่อลวงจะอยู่ในกลุ่มขั้นที่ 3-4 เมื่อเราขาดเราก็จะแสวงหาเปรียบเทียบอย่างถ้ารู้สึกว่าร่างกายกำลังขาดน้ำ เราก็ไปหาน้ำ จิตใจก็เหมือนกัน ถ้าขาดความรักหรือขาดความรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า จากการดูแลมาตั้งแต่วัยเด็กพอโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นเป็นผู้ใหญ่การตอบสนองหรือโหยหาก็จะมากกว่า”
นักจิตวิทยาระบุว่า กลุ่มคนที่ขาดเหมือนต้นไม้ที่ไม่สมบูรณ์เมื่อเจอแรงลมก็ไหวเอนและหักงอง่าย เช่นเดียวกับวัยเด็กถ้าขาดความรักและความรู้สึกว่าตัวเองมี่คุณค่า เติบโตขึ้นมาเป็นวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ก็จะแสวงหาจากสิ่งแวดล้อมหรือสังคมภายนอก ซึ่งปัจจุบันส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางด้านลบ ดังนั้นการเติบโตมาแบบไม่มีวัคซีนป้องกันจะทำขาดวุฒิภาวะ ขาดการคิดไตร่ตรองทำให้ถูกล่อลวงได้ง่าย โดยรูปลักษณ์แค่ผิวเผินหรือผ่านคำพูดเปลือกนอกที่มาเติมเต็มสิ่งที่ขาดกว่าคนที่เติบโตสมบูรณ์
“การพูดคุย วัจนภาษา (verbal) ได้แก่ภาษาถ้อยคำ คำพูดหรือตัวอักษรที่กำหนดใช้ร่วมกันในสังคม ไม่ว่าพูดหรือพิมพ์ สารที่ส่งผลให้มีการตีความการแปลความหมายทำให้เกิดการสื่อสารที่สร้างสรรค์หรือการสื่อสารที่แอบแฝงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น โดยถ้าส่งพลังบวกให้จะเกิดการเติบโตได้ในทุกทางของชีวิต หน้าที่การงาน ความรัก สำหรับเราอยากให้อีกคนชอบหรือรู้สึกดีต่อเราก็ต้องถ่ายทอดพลังทางบวกให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการคนชมเชย การชื่นชม ผ่านคำพูดหรือคำพิมพ์ที่อ่อนหวานเล้าโลม ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญ”
นักจิตวิทยายกตัวอย่างขั้นตอนการล่อลวงเพื่อแอบแฝงผลประโยชน์ง่ายๆ ที่สังเกตได้คือ เริ่มจากจากการขอความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก่อน และเมื่อทำได้จะกล่าวขอบคุณเพื่อให้เป็นคนที่มีคุณค่า เป็นฮีโร่ในชีวิต ต่อมาทำให้รู้สึกว่ามีตัวตนและเป็นที่ต้องการ เพิ่มให้มีความเชื่อมั่นเขาสามารถช่วยผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่งได้ และขอยืมเงินหรือหลักทรัพย์ที่เล็กๆ น้อยและค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามความไว้วางใจที่เหยื่อหลงเชื่อชนิดไม่มีระยะเวลาที่กำหนด
“เงินยังไม่หมดและตัวผู้กระทำก็ยังโอ้โลมปฏิโลม เป็นปี หรือ 10 ปี ก็สามารถล่อลวงได้ ฉะนั้นส่วนใหญ่ที่หลายคนสงสัยทำไมไม่วีดีโอคอล ผู้หลอกลวงสามารถหลีกเลี่ยงด้วยเหตุผลได้ เพราะคนที่ตกหลุมนี้ครบต่อให้ไม่เห็นคู่สายวีดีโอคุย แค่การพิมพ์และดูรูปในการสื่อสารกันก็ครบความต้องการ ต้องเงินหมดหรือการพูดออดอ้อนหยุดไปถึงปรากฏความจริงอย่างที่เกิดเป็นข่าวขึ้น”
ยิ่งสวยเอ๊กซ์ยิ่งกระเพื่อมจิตให้หลง
นักจิตวิทยาเผยว่า อวัจนภาษา (non-verbal) รูป รส กลิ่น เสียง ในทางกายวิพากษ์ถือว่าเป็นสิ่งที่ตอบสนองแรงกระเพื่อมของจิตมนุษย์มากที่สุดให้เกิดความสนใจและหลงใหล โดยเฉพาะกับ ‘ทางการมองเห็น’ มีอิทธิพลมากถึง 60-70 เปอร์เซ็นต์
“รูปลักษณ์ภายนอก แววตา ท่าทางบุคลิก สามารถดึงดูดใจ สังเกตจากการที่เราเห็นรูปผู้หญิงที่สวยเซ็กซี่ในโซเชียลจะใช้เวลาดูรูปนั้นเป็นอันดับแรกก่อนและใช้ระยะเวลาที่มากกว่าข้อความที่สื่อสาร หลักการเดียวกับหลักการภาพข่าวหรือพรีเซนเทชั่นงานประชุมสัมมนาและในการโฆษณา ที่ส่วนใหญ่จะใช้ภาพเป็นจุดสำคัญในการกระตุ้นอารมณ์ ความคิด ความรู้สึกประกอบให้เนื้อหาดูน่าสนใจยิ่งขึ้น เพราะภาพๆ หนึ่งสามารถสะท้อนคำพูดได้หลายร้อยพัน”
สอดคล้องกับ “ก็อต-ปฏิพล” เจ้าของโปรดักชั่นเฮาส์ บริษัท GODPHIC บอกเช่นเดียวกันว่า ‘รูป’ มีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวใจสำคัญและเป็นอันดับแรกที่จะทำให้เกิดอารมณ์ในการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อได้เลยในทางหลักการโฆษณา โดยที่ยังไม่ต้องมีสตอรี่เรื่องราวด้วยซ้ำ
“โฆษณาให้ความสำคัญกับภาพมีผล 80-90 เปอร์เซ็นต์ ถ้ารูปแรกไม่โดนมันเหมือนหยุดความสัมพันธ์ไปตั้งแต่เริ่มแรก แต่ถ้ารูปโดนใจใช้เสียงหรือข้อความแค่ 2-3 คำก็มีผลต่อการตัดสินใจ”
ปฏิพลเพิ่มรายละเอียดในการโน้มน้าวใจต่ออีกว่า ข้อความที่สื่อสารไม่ว่าจะเสียงหรือข้อความที่จะสื่อสารแบ่งได้ในยุคปัจจุบันเข้า อย่างเฟซบุ๊กจะนิยมใช้ข้อความตัวอักษร ส่วนถ้าเป็นเว็บไซต์ยูทูปผู้ใช้มีความต้องฟังเพลงหรือดูคลิปก็จะเน้นการใช้เสียง โดยสิ่งที่จะสื่อสารให้มีผลต่อการตัดสินใจเรียกว่าการโน้มน้าวใจมีตั้งแต่การสร้าง ‘ความน่าเชื่อถือ’ และ ‘เรื่องราว’ ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
“คีย์เวิร์ดที่คนจะซื้อสินค้าไม่ได้แปลว่าสินค้านี้ดีที่สุด แต่เกิดจากการที่ลูกค้าชอบ เกิดอารมณ์ร่วม ฉะนั้นก่อนการทำโฆษณาก็จะมีวิเคราะห์ เพศ วัย การศึกษา อาชีพ ฐานะ รู้กลุ่มเป้าหมาย ต้องการแบบไหน และสื่อสารออกไปจึงมีการอ้างอิงงานวิจัยลงไป การโยนหินถามทาง คนนี้ชอบรถหรือท่องเที่ยวเป็นต้น คือค่อยๆ จับจุด จะไม่เร้าเกินไปเพราะต้องรอดูฟีดแบค และค่อยปรับเปลี่ยนวิธีการโจมตีต่อไปงานโฆษณาจึงจะไม่จบในโฆษณาเดียว”
เจ้าของโปรดักชั่นเฮาส์ บริษัท GODPHIC วิเคราะห์ว่าหลักการของการลวงแชทโดยที่ไม่เคยพบกันโดยเหยื่อหลงเชื่อจึงเกิดขึ้นได้นั้นมีรูปแบบเช่นเดียวกันกับการโฆษณาที่จะมีการหาจุดที่ชอบ และพยายามพูดคุยแชร์ในทิศทางที่ตรงกันเพื่อสานความสัมพันธ์
หางเสียงดูดทรัพย์
นอกจากรูปลักษณ์และการสื่อสารที่สอดคล้องหรือการใช้คำกล่าวชมเชย “ศุภมาส ธรรมชาติ” อาจารย์ภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบางกะปิ บอกอีกว่าการสื่อสารด้วยข้อความหรือการพูด โดยการเล่นน้ำเสียงหรือหางเสียงในประโยคยังสามารถโน้มน้าวใจคนได้แม้ไม่ต้องเห็นหน้ากันอีกด้วย
“การที่คนเราไม่เจอกันภาษาเป็นส่วนสำคัญอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่เราชอบเรายิ่งสรรหาคำที่อาจจะไม่ต้องสละสลวย เป็นคำธรรมดาแต่สามารถทำให้หลงใหลเราได้ ด้วยการใช้น้ำเสียงเย้ยหยัน ถากถางหรืออ่อนหวาน เช่นคิดถึงจังเลย กับคิดถึงจังเลยนะ ความหวานแตกต่างกัน หรืออย่างไม่เอา ไม่เอาอ่ะ แสดงความไม่พอใจ แต่พอไม่เอาค่ะ มันก็นุ่มนวลลงมา ตรงนี้ก็มีส่วนสำคัญในการแสดงอารมณ์ในตอนนั้น”
อาจารย์ภาษาไทยโรงเรียนบางกะปิเสริมอีกว่า ภาษาไทยที่มีโทนเสียง ‘สูง-ต่ำ’ และ ‘หนัก-เบา’ กลวิธีในส่วนนี้ยิ่งเร้าอารมณ์ให้คล้อยตามมากเท่าๆ กับการใช้น้ำเสียง
“คือถ้าเราพูดน้ำเสียงเรียบไม่มีหนักเบา อันไหนควรเน้นไม่ควรเน้นก็ไม่น่าฟังเหมือนอย่างการอ่านข่าว ตรงนั้นมันเป็นอารมณ์ที่ส่งด้วยที่จะเร้าอารมณ์หรือกระตุ้นความรู้สึก คนพูดเสียงห้าวๆ คนจะไม่ค่อยมีคนฟัง แต่คนที่เสียงหวานแบบนักร้องเสียงทองคนจะรู้สึกคล้อยตามอยากจะฟัง บางครั้งฟังหรืออ่านแล้วยิ้มตามก็มีเกิดขึ้น
“ดังนั้นนอกจากรู้หลักในการโน้มน้าวใจเพื่อให้พูดอื่นเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมตามที่เราต้องการอย่างการสร้างความน่าเชื่อถือหรือการให้เหตุผล การแชร์สื่อสารในเรื่องที่ชอบเหมือนกัน ผ่านการวิเคราะห์ เพศ วัย การศึกษา อาชีพ ฐานะ การใช้หลักจิตวิทยาเข้าใจธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจ การใช้ภาษาหยอดทุกวันๆ ก็เป็นส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้ในการโน้มน้าวใจ และยิ่งหลงรูป รู้ความต้องการ เหยื่อที่ถูกหลอกลวงก็ไม่รอด เพราะภาษาจะอยู่ในความรู้สึกได้นานมากแบบที่เรามักจำเสียงคนคุ้นเคยของเราได้เวลาเรียก”


