IMF กับบทบาทใหม่ ผู้ยุติสงครามเศรษฐกิจ
การประชุม จี20 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แม้จะไม่สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมมากนักในการสกัดกั้นสงครามค่าเงินและสมรภูมิการค้าโลก แต่ยังมีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่อาจต่อยอดเป็นความสำเร็จอย่างงดงาม จนอาจกลายเป็นทางออกสำหรับความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
การประชุม จี20 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แม้จะไม่สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมมากนักในการสกัดกั้นสงครามค่าเงินและสมรภูมิการค้าโลก แต่ยังมีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่อาจต่อยอดเป็นความสำเร็จอย่างงดงาม จนอาจกลายเป็นทางออกสำหรับความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
การประชุม จี20 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แม้จะไม่สามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมมากนักในการสกัดกั้นสงครามค่าเงินและสมรภูมิการค้าโลก แต่ยังมีความเคลื่อนไหวหนึ่งที่อาจต่อยอดเป็นความสำเร็จอย่างงดงาม จนอาจกลายเป็นทางออกสำหรับความขัดแย้งทางเศรษฐกิจที่เริ่มทวีความรุนแรงขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้เกิดจากมติความเห็นชอบอย่างเหนือความคาดหมายของที่ประชุม จี20 ที่จะให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพิ่มสิทธิ เสียง และอำนาจให้กับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาหรือตลาดเกิดใหม่
นับจากนี้ IMF จะใช้วิธีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารทั้งชุด ขณะที่ยุโรปจะยินยอมสละที่นั่งในคณะกรรมการฯ 2 ที่นั่ง เพื่อเปิดทางให้กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่
หลังจากการ “ปฏิรูป” ลงตัว ประเทศที่มีสัดส่วนหุ้นในกองทุนรายใหญ่ที่สุด 10 ประเทศ จะประกอบด้วยสหรัฐ ญี่ปุ่น ประเทศชั้นนำจากยุโรป 4 ประเทศ รวมถึงบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน
กล่าวขานกันว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็น “การปฏิรูปครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏมา”
การปรับตัวของ IMF จะยังผลในด้านบวกอย่างยิ่งต่อการเผชิญหน้าที่เข้มข้นยิ่งขึ้น เพราะการเพิ่มอำนาจให้กับประเทศกำลังพัฒนาจะช่วยบรรเทาความไม่พอใจของประเทศเหล่านี้ ในช่วงเวลาที่ประเทศพัฒนาแล้วเริ่มโจมตีประเทศกำลังพัฒนาอย่างหนักหน่วง
จะต้องไม่ลืมว่า IMF ถูกมองเป็นเครื่องมือของประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยเหตุนี้ความไม่พอใจต่อประเทศตะวันตกย่อมสะท้อนมาถึงองค์กรนี้เช่นเดียวกัน
นี่คือข้อดีประการแรกของการปรับตัวครั้งใหญ่ของ IMF
ประการต่อมา การปรับตัวจะนำมาซึ่งการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ข้อตกลงใหม่ๆ และความสัมพันธ์ในมิติใหม่ ภายในกองทุน
ก่อนหน้านี้ ข้อตกลงใหม่ๆ หรือการนำเสนอแนวทางใหม่ๆ สำหรับปฏิรูปโมเดลเศรษฐกิจโลก มักเกิดขึ้นจากการประชุมต่างกรรมต่างวาระกันของสมาชิก จี20 ซึ่งแยกออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ
กลุ่มแรก คือ สมาชิกกลุ่มตลาดเกิดใหม่ รวมตัวกันในชื่อ BRIC อันประกอบด้วยบราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีน
กลุ่มที่สอง คือ สมาชิกกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งรวมตัวกันมานานก่อนการฟอร์ม จี20 ในชื่อกลุ่ม จี7 หรือประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ
ข้อตกลงของทั้งสองกลุ่มมักสวนทางกันเสมอตามผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกัน ด้วยเหตุนี้จึงมีการจัดตั้ง จี20 เพื่อประสานผลประโยชน์ แต่แล้วทั้งสองกลุ่มกลับยังใช้เวทีเดิมของตัวเองเพื่อนำมาฟาดฟันกันใน จี20
การปฏิรูปตัวเองของ IMF จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการประสานผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม ในกรณีที่ จี20 เริ่มกลายเป็นกลไกที่ขัดข้อง
ความเท่าเทียมกันที่บังเกิดขึ้นใน IMF มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจาก จี20 เคยเชื้อเชิญให้กองทุนเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทเรื่องค่าเงินและการค้า แต่ขณะนั้นประเทศกำลังพัฒนายังมิได้มีฐานะเท่าเทียมแต่อย่างใด การให้อำนาจเท่าเทียมกันทุกฝ่าย จะยิ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกองทุน
ที่สำคัญอีกประการก็คือโฉมหน้าใหม่ของ IMF จะเกื้อหนุนให้เกิดนวัตกรรมทางการเงินและการค้า หากทุกฝ่ายสามารถหลีกเลี่ยงสงครามการเงินและการค้าได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งนัยสำคัญของการยินยอมให้ประเทศกำลังพัฒนามีอำนาจเพิ่มขึ้นในองค์กรการเงินที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นั่นคือการที่นานาประเทศจะให้การยอมรับ IMF ในฐานะที่เป็นองค์กรที่ยุติธรรม ไม่โน้มเอียงไปทางกลุ่มประเทศใดประเทศหนึ่ง ดังที่ภาพลักษณ์ของ IMF ปรากฏเช่นนั้นมาตลอด ว่าเป็น “นอมินี” ของมหาอำนาจตะวันตก
นอกจากนี้ ยังเคยเกิดกระแสต่อต้าน IMF อย่างรุนแรงในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียที่ต้องประสบกับวิกฤตการเงินจนต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขอันเข้มงวดของ IMF โดยเฉพาะการเปิดเสรีภาคการเงิน และการสูญเสียอิสรภาพในการตัดสินใจด้านการเงินการคลังของประเทศ
แต่ในพลันที่ประเทศกำลังพัฒนาฟื้นตัวจากวิกฤต อีกทั้งยังมีภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าประเทศตะวันตก IMF จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปลายทศวรรษที่ 2000 ซึ่ง IMF ขาดรายได้อย่างหนักจนถึงขั้นต้องขายทองคำสำรองในคลัง เนื่องจากประเทศลูกหนี้ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้กลายเป็นมหาอำนาจใหม่ และกลายเป็นเจ้าหนี้ประเทศตะวันตก ผ่านทางการถือครองพันธบัตรของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
กระแสลมที่เริ่มเปลี่ยนทิศรุนแรงถึงระดับที่ยากจะต้านทาน ยิ่งประเทศกำลังพัฒนาชูประเด็นความ “ไม่ชอบธรรม” ที่เกิดขึ้นจากสิทธิและเสียงที่ไม่เท่าเทียมกัน IMF ยิ่งต้องพิจารณาตัวเองอย่างถี่ถ้วน เพื่อความอยู่รอดในอนาคต
นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 2000 จึงมีกระแสเรียกร้องให้ปฏิรูปกองทุนอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้น แม้แต่ผู้อำนวยการกองทุน นับตั้งแต่ โรดริโก ราโต ยังเอ่ยถึงแนวโน้มที่ว่านี้เช่นกัน
ไม่น่าประหลาดใจที่ โดมินิก สเตราส์ คาห์น ผู้อำนวยการ IMF จะกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทำให้ IMF “มีความชอบธรรม” มากยิ่งขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว IMF ไม่ต้องการความชอบธรรมมากไปกว่าการอยู่รอด โดยอิงแอบกับอิทธิพลของตลาดเกิดใหม่ เพราะหาก IMF และชาติตะวันตกปรารถนาความชอบธรรมด้วยเจตนาบริสุทธิ์แล้ว ก็ควรเพิ่มสิทธิและเสียงให้ประเทศอื่นๆ นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกองทุน
หากย้อนกลับไปพิจารณาถึงปัญหามูลฐานที่ทำให้ IMF เสื่อมความน่าเชื่อถือ และทำให้ประเทศคู่ตรงข้ามเผชิญหน้าในระดับที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ จะพบปมปัญหา 2 ประการ
ประการแรก IMF ยึดติดกับโมเดลเศรษฐกิจแบบทุนนิยมตะวันตกอย่างเหนียวแน่น และมักปฏิเสธความหลากหลายของระบบเศรษฐกิจแบบอื่นๆ
ประการที่สอง IMF ขาดความเป็นประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่เป็นองค์กรตัวแทนของประเทศที่เรียกตัวเองเป็นหัวหอกประชาธิปไตย
ปมปัญหาทั้งสองประการ ล้วนแต่เป็นรากฐานของการเผยแพร่กระบวนการโลกาภิวัตน์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตอบรับอย่างกระตือรือร้นของบางชาติในเอเชีย แต่ในเวลาต่อมาจึงทราบโดยถ่องแท้ว่า เป็นยาพิษเคลือบน้ำตาล
วันนี้แทบไม่มีใครเอ่ยถึงคำว่าโลกาภิวัตน์อีกต่อไป แต่กลับพูดถึงสงครามการเงิน สงครามการค้าอย่างหนาหู ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว สงครามทั้งสองสมรภูมิเป็นการปะทะกัน
วันนี้ IMF หมดภาระของการป่าวประกาศ “ลัทธิโลกาภิวัตน์” แต่ได้เปลี่ยนตัวเองมาเป็นคนกลางในการประสานความหลากหลายของเศรษฐกิจโลก ซึ่งเท่ากับเป็นการละทิ้งปัญหาประการแรกไปโดยปริยาย อีกทั้งยังเพิ่มสิทธิและเสียงให้กับชาติอื่นๆ เท่ากับยุติปมปัญหาประการที่สอง
หากกลไกการบริหารหลังการปฏิรูป ลื่นไหลและลงรอย สิ่งที่ติดตามมาคือ การริเริ่มสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย หาใช่แสวงหาประเด็นใหม่ๆ เพียงเพื่อเผชิญหน้า และแย่งชิงผลประโยชน์
ในห้วงเวลาที่ความขัดแย้งเริ่มชัดเจนและรุนแรง อย่างน้อยยังพอมีความหวังให้เห็นสันติภาพในโลกเศรษฐกิจอยู่รำไร


