posttoday

เสนอเพิ่มเงินสมทบประกันสังคมขั้นต่ำ5%

18 ตุลาคม 2553

นักวิชาการแบงค์ชาติเสนอปรับอัตราจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจาก 3% เป็นขั้นต่ำ 5% แก้ปัญหาประกันสังคมแบกภาระจ่ายเงินบำนาญชราภาพจนขาดทุนในอีก 33 ปีข้างหน้า

นักวิชาการแบงค์ชาติเสนอปรับอัตราจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมจาก 3% เป็นขั้นต่ำ 5% แก้ปัญหาประกันสังคมแบกภาระจ่ายเงินบำนาญชราภาพจนขาดทุนในอีก 33 ปีข้างหน้า

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.แรงงานกล่าวถึงปัญหาระยะยาวของสำนักงานประกันสังคม(สปส.)ว่ามีภาระต้องจ่ายบำนาญชราภาพแก่ผู้ประกันตนโดยจะต้องจ่ายเงินก้อนแรกในปี 2557 แม้ขณะนั้นจะคาดการณ์ว่าเงินสะสมของกองทุนจะเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาท

แต่เนื่องจากรายได้ที่ผู้ประกันตนจ่ายสมทบกองทุน 3% บวกกับของนายจ้างอีก 3% รวมเป็น 6% ขณะที่เงินบำนาญจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 20% เมื่อแบกรับส่วนต่างนี้ไปเรื่อยๆจะลดลงอย่างรวดเร็วจนติบลบในปี 2586 อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้สปส.เร่งหาแนวทางรับมือปัญหาดังกล่าวแล้ว

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วนกลยุทธ์สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่าทางออกของปัญหามีอยู่ 3 แบบคือ 1.เก็บเงินสมทบเพิ่ม 2.ขยายเวลาเกษียณอายุของผู้ประกันตนมากขึ้น และ3.ปรับนโยบายการลงทุนของกองทุนประกันสังคมให้ลงทุนในหลักทรัพย์ความเสี่ยงสูงเพิ่มมากขึ้น

“ระบบการจ่ายเงินเราใจดีเกินไป จากการคำนวณเงินบำนาญชราภาพคร่าวๆพบว่าถ้าผู้ชายจ่ายเงินสมทบ 1 บาทจะได้เงินคนตอนเกษียร 2 บาท แต่ถ้าเป็นผู้หญิงจะได้ 3 บาท ขณะที่ผู้ประกันตนกำลังเรียกร้องอยู่เรื่อยๆเพราะเห็นว่าเงินกองทุนมีตั้ง 7 แสนล้านบาทแต่เราจะเริ่มเห็นเงินลดตอนปี 2557 ประกอบกับอีก 40 ปีข้างหน้าสังคมไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 30% ก็เป็นปัญหาที่สปส.ต้องหาเงินมาจ่ายบำนาญให้เพียงพอ”นายกอบศักดิ์กล่าว

ทางออกของปัญหาดังกล่าวคือถ้าอยากให้เงินบำนาญในอนาคตได้เท่าเดิมก็ต้องจ่ายเงินสมทบเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการคำนวนพบว่าถ้าจะให้ระบบประกันสังคมอยู่รอดได้ต้องเก็บเงินสมทบเพิ่มเป็น 5% ในปี 2550 จากนั้นเพิ่มเป็น 6%, 7.5%, 9.6%,13% และ17% ในทุกๆ 10 ปีให้หลัง โดยจะเห็นว่ายิ่งเพิ่มจำนวนเงินสมทบเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งแบ่งเบาภาระในอนาคตเท่านั้น

ส่วนวิธีการขยายเวลาเกษียณอายุนั้น ปัจจุบันผู้ประกันตนได้เบี้ยบำนาญตอนอายุ 55 ปี แต่ในอนาคตอาจต้องขยายเป็น 60-65 ปีเพื่อชดเชยกับช่วงอายุเฉลี่ยที่มากขึ้นซึ่งหมายถึงสปส.ต้องจ่ายเงินบำนาญแก่ผู้ประกันตนนานขึ้นตามไปด้วย

อีกวิธีคือต้องปรับทิศทางการลงทุนเพื่อเพิ่มสัดส่วนในหุ้นเสี่ยงสูงเพื่อให้มีโอกาสได้กำไรสูงตามไปด้วย จากการคำนวณพบว่าหากผู้ประกันตนทำงานตั้งแต่อายุ 25 ปีและเก็บเงินปีละ 20% เมื่อเกษียณอายุ 60 ปีจะมีเงินสะสมพอเลี้ยงชีพต่อไปได้อีก 9 ปี แต่หากแบ่งเงินออมไปลงทุนในหุ้นที่อาจมีเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตรต่างๆก็อาจได้ผลตอบแทนพอเลี้ยงชีพได้จนถึงอายุ 81 ปี

“สิ่งที่พูดกันวันนี้อาจจะยอมรับยากแต่อย่าลืมว่าถ้าสปส.ย่ำแย่เราก็ย่ำแย่ตามไปด้วย ถ้าทุกคนอยากให้เงินในอนาคตมีเท่าเดิม อยากมีชีวิตที่ดีตอนเกษียรก็ต้องอดทนยอมจ่ายเงินให้มากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นคนที่จะได้เปรียบคือคนที่อายุ 50 ปีในปัจจุบันที่ได้เงินบำนาญไปเต็มที่แต่คนอายุ 20-30 ปีในปัจจุบันจะเสียเปรียบเพราะเมื่อถึงช่วงเกษียรเงินกองทุนประกันสังคมก็หมดพอดี”นายกอบศักดิ์กล่าว

นายยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่ารัฐบาลควรแยกกองทุนชราภาพให้เป็นอิสระไม่ต้องขึ้นตรงกับกองทุนประกันสังคม เพื่อป้องกันปัญหาการดึงเงินในส่วนของกองทุนชราภาพไปใช้อุดหนุนและทดแทนกองทุนอื่นๆที่อยู่ภายใต้กองทุนประกันสังคม

นอกจากนี้ให้ปรับสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดคือลงทุนในหลักทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ 60% และหลักทรัพย์ความเสี่ยงสูง 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 80% และ20% ตามลำดับ

“วิธีนี้นอกจากจะช่วยไม่ให้การเงินรั่วไหลแล้วยังสามารถดูแลสิทธิประโยชน์ต่างๆของผู้สูงอายุได้ดียิ่งขึ้นและการแยกกองทุนชราภาพออกมาเป็นอิสระก็สามารถทำได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมายประกันสังคม” นายยงยุทธกล่าว

นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการจากทีดีอาร์ไอเสนอว่าอัตราเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่าย 3% ไม่เพียงพอต้องเพิ่มเป็น 7% เพราะต่อให้ปรับสัดส่วนการลงทุนหลักทรัพย์ความเสี่ยงสูงเป็น 40% และได้ผลตอบแทนปีละ 10-20%ก็ยังไม่เพียงพอกับเงินที่ต้องจ่ายบำนาญออกไป

อีกทางเลือกหนึ่งคือปรับวิธีคิดจากเดิมที่ใช้ระบบกระเป๋าเงินรวมคือทุกคนเอาเงินมากองรวมกันแล้วบริหารจัดการ เป็นการจัดการแบบกระเป๋าใครกระเป๋ามัน รวมทั้งเมื่อพ.ร.บ. กองทุนการออมเพื่อการชราภาพ (กอช.) มีผลบังคับใช้ รัฐบาลมีหน้าที่ต้องจัดการให้ประชาชนมีการออมและได้รับเงินสมทบจากรัฐที่เท่าเทียมกันโดยไม่แบ่งแยกว่าห้ามผู้ประกันตนใช้สิทธิตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ 

ข่าวล่าสุด

จากดราม่า ‘น้องหมากินข้าวร่วมโต๊ะในร้าน’ สู่การส่องกฎหมาย Pet Friendly ของ ‘เกาหลีใต้’