posttoday

บทเรียน "ครอบครัวหัวร้อน" เมื่อทำผิดแล้วกร่างไม่ยอมรับผิด

15 พฤษภาคม 2561

3 ทนายความดังสะท้อนบทเรียนที่สังคมได้รับจากเหตุการณ์ครอบครัวหัวร้อนด่า-ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่จอดรถในที่ห้ามจอด

3 ทนายความดังสะท้อนบทเรียนที่สังคมได้รับจากเหตุการณ์ครอบครัวหัวร้อนด่า-ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่จอดรถในที่ห้ามจอด

------------------------------

โดย...วรรณโชค ไชยสะอาด

วีรกรรมครอบครัวหัวร้อน ทำกร่างรุมด่าทอและทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายทำผิดกลายเป็นกระแสไปทั่วสังคม

ล่าสุดภายหลังสงบสติอารมณ์ ครอบครัวดังกล่าวเตรียมถือกระเช้าเข้าขอโทษตำรวจที่สภ.มาบตาพุด จ.ระยอง ในวันที่ 16 พ.ค. นี้ โดยเปิดเผยว่ารู้สึกผิดและแย่ต่อการกระทำอย่างมาก พร้อมกับขอโอกาสปรับตัวจากสังคม

จากความผิดเพียงแค่จอดรถในที่ห้ามจอด ลามไปสู่คดีความดูหมิ่นเจ้าพนักงาน , ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ และทำร้ายร่างกาย เหตุดังกล่าวทิ้งบทเรียนอะไรไว้บ้างให้กับสังคม ?

เคารพสิทธิผู้อื่น อย่าอวดรู้

นิด้า ศรันยา หวังสุขเจริญ ทนายความสาว ให้ความเห็นว่า ประชากรหลายคนในประเทศไทย มักเรียกร้องสิทธิ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าที่ของตัวเอง เวลามีใครมารบกวนหรือกระทำให้รู้สึกเดือดร้อน รำคาญ มักจะนึกขึ้นมาได้ทันที ว่าเรามีสิทธิที่จะอยู่อย่างสงบ ไม่ถูกผู้ใดมากระทำการรบกวน แต่มักไม่มีใครคำนึงว่าสิทธิที่เรามี คนอื่นเขาก็มี เราจึงต้องมี "หน้าที่" เคารพสิทธิของผู้อื่นด้วยเช่นกัน

เธอยกตัวอย่างบทสนทนาและความคิดความรู้สึกของประชาชนเมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม

เวลาโดนตำรวจจับ

1. เรื่องแค่นี้เองทำไมต้องจับ >> แต่ไม่เคยมองตัวเองว่าเรื่องแค่นี้เอง ทำไมถึงไม่คิดปฏิบัติตาม

2. ทีคนนู้นทำไมไม่จับ >> ตำรวจตั้งด่านมี 10 คน คนทำผิดมากันร้อยคน มันก็ต้องมีคนที่พ้นจากการถูกจับ เป็นเรื่องปกติธรรมดาสามัญ ไม่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ แค่นี้คิดไม่ได้

3. อ้างความหาเช้ากินค่ำ >> จะหาได้วันละเท่าไหร่ ย่อมต้องรู้ว่าไม่มีสิทธิทำผิดกฎหมาย

4. อ้างรู้กฎหมาย >> แต่รู้ไม่จริง แล้วสร้างความวุ่นวายไปใหญ่ให้สังคม

5. อยากให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติกับเราอย่างเป็นมิตร >> แต่หลายคนแค่เห็นเครื่องแบบตำรวจก็ดูถูกเหยียดหยาม

บทเรียน "ครอบครัวหัวร้อน" เมื่อทำผิดแล้วกร่างไม่ยอมรับผิด นิด้า ศรันยา หวังสุขเจริญ

ทนายนิดาบอกว่า จากประสบการณ์ชีวิต เวลาเจอด่านตรวจเรียก ไม่เคยแสดงตัวว่าเป็นทนาย ไม่เคยแสดงว่ารู้จักคนมีสีหรือไม่มี แต่เลือกให้ความร่วมมือทุกครั้ง ผิดคือผิด และโดนเขียนใบสั่งเหมือนทุกๆ คน

“เคยมีครั้งหนึ่งขับรถคุยงานกะลูกความอยู่ เจอตำรวจตั้งด่านก็เปิดกระจก ตำรวจขอดูใบขับขี่ก็ให้ดู นิด้าถามตำรวจว่า นิด้าผิดอะไรคะ ตำรวจบอกว่าใช้โทรศัพท์ระหว่างขับรถ เออ...แนบคาหูอยู่เลย คุยเพลินไปหน่อย ได้ใบสั่งมา 1 ใบ

ในความคิดของตนเอง แม้จะรู้สึกว่าตนเองก็ยังคุยโทรศัพท์ได้ พร้อมกับขับรถได้อย่างปลอดภัย ก็ไม่เห็นต้องน่าจับอะไร แต่ก็ไม่ได้เถียง แค่คิดในใจ เพราะเถียงไปก็นึกละอาย กฎหมายเขามีห้ามไว้ ก็ถือว่าผิดจริง”

เธอบอกต่อว่า จากคลิปที่โด่งดังที่บอกจอดในที่ห้ามจอด แต่อ้างว่าจอดแป๊ปเดียว จอดนาทีเดียวแล้วโดนตำรวจเขียนใบสั่ง นับเป็นการยอมรับว่าจอดในที่ห้ามจอดจริงแต่ปฏิเสธโทษที่ตนเองจะต้องได้รับ ประเทศยังมีคนแบบนี้อีกมาก และคิดว่าประเทศด้อยพัฒนาเพราะคนแบบนี้

“เรามีสิทธิที่จะไม่เห็นด้วยกับกฏหมาย แต่ไม่มีสิทธิปฏิเสธการบังคับใช้กฎหมาย จนกว่าจะได้มีการยกเลิก แก้ไข และถูกเปลี่ยนแปลง เราทราบดีถึงสิทธิในการที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากตำรวจ สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรม สิทธิที่จะได้รับการบำบัดทุกข์บำรุงสุขจากเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่เราชอบอ้างว่ากินภาษีของตน ทั้งที่หลายคนก็ไม่เคยจ่าย แต่หน้าที่ให้ความร่วมมือ เคารพกฎเกณฑ์ของสังคมบ้านเมือง อย่าลืมไปว่า...เราเองก็ต้องมี”

ทนายความสาวบอกต่อว่า ไทยนับเป็นประเทศหนึ่งที่มีกฎหมายเฟ้อมาก เพราะผู้คนไม่รู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง จึงต้องออกกฎหมายมาบังคับ ทั้งที่สิทธิและหน้าที่บางอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ทุกคนต้องมีติดตัวโดยไม่จำเป็นต้องออกกฎหมายมาบังคับ ยกตัวอย่างเช่น

การจอดรถบนถนนสาธารณะ คนจอดก็จะคิดเสมอว่า ฉันมีสิทธิใช้ แต่กลับไม่คิดว่าคนอื่นเขาก็ต้องได้ใช้ด้วย นั่นแสดงให้เห็นว่าเราไม่คิดถึงหน้าที่ต้องเคารพผู้อื่น นึกถึงแต่เพียงสิทธิของตน ทั้งที่ถูกต้องแล้วเราควรให้ความสำคัญต่อ “หน้าที่” เสียยิ่งกว่า “สิทธิ” อีก

บทเรียน "ครอบครัวหัวร้อน" เมื่อทำผิดแล้วกร่างไม่ยอมรับผิด

 

อย่าใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย

เกิดผล แก้วเกิด ทนายความ บอกว่า การโต้เถียงทะเลาะวิวาทระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพียงแต่ต้องอยู่บนข้อเท็จจริงและกฎหมาย ไม่ใช่กฎหมู่

“ส่วนตัวผมสนับสนุนการโต้เถียงกับตำรวจบนพื้นฐานหลักข้อเท็จจริงและกฎหมาย ไม่ใช่ใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย เป็นไปได้ว่าประชาชนจะมีข้อพิพาทกับตำรวจแล้วไม่ยอม เพราะในอดีตที่ผ่านๆ มาก็มีเคสที่เจ้าหน้าที่กดขี่ข่มเหงประชาชน ทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้ แต่วิธีการต้องไม่ใช่กฎหมู่มาข่มขู่จนอยู่เหนือกฎหมาย”

คดีล่าสุดในแสดงให้เห็นว่า อารมณ์ ภาวะขาดสติและความไม่รู้นั้นเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรง

"ครอบครัวตัวกร่างเป็นครอบครัวตัวอย่างที่ไม่มีใครห้ามใคร ไม่มีใครเตือนสติใครเลย แต่กลับชักจูงกันไปในทางที่ผิด เอากฎหมู่เหนือกฎหมายและเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้อง ทั้งที่ไม่ใช่"

ทนายความชื่อดังบอกว่า "กิริยามารยาทที่แสดงออกนั้นส่อให้เห็นว่า ไม่เคารพเจ้าหน้าที่ ไม่แยแสต่อกฎหมาย ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อตัวผู้กระทำและยังนำไปสู่ความรุนแรงหรือคดีความอื่นๆ"

เกิดผล เชื่อว่าในสังคมไทยมีเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างประชาชนและตำรวจบ่อยครั้ง แต่ที่ผ่านมาตำรวจมักจะเลือกเป็นฝ่ายยอมเพราะไม่อยากมีเรื่องราวบานปลาย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นตัวอย่างที่ดีของการควบคุมอารมณ์และสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่

“คนส่วนใหญ่มีอคติ มองตำรวจในแง่ลบอยู่แล้ว หลายครั้งตำรวจเองก็ไม่อยากสู้ พอเห็นคนเถียงมากๆ โวยวาย ไม่อยากมีเรื่องมีราว ก็เลือกที่จะเป็นฝ่ายถอย เหตุล่าสุดเจ้าหน้าที่ทำได้ดีมากและน่าชื่นชมในการควบคุมอารมณ์ อดทน และยืนยันที่จะแสดงออกตามกรอบกฎหมาย”

บทเรียน "ครอบครัวหัวร้อน" เมื่อทำผิดแล้วกร่างไม่ยอมรับผิด วิรัช หวังปิติพาณิชย์ และ เกิดผล แก้วเกิด

อย่าลืมพกสติติดตัว

วิรัช หวังปิติพาณิชย์ ทนายความอีกท่านบอกว่า สติเป็นเรื่องที่ประชาชนควรคำนึงถึงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความขัดแย้งกับผู้อื่น โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนมักหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายคลิปเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นเสมอ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเองนั้นผิดหรือถูก

“พฤติกรรมการแสดงออกของเราสำคัญมาก อย่าลืมว่าหากภาพและเรื่องราวของเราอยู่ในโซเชียลแล้ว จะอยู่ในระบบตลอดกาลและสามารถย้อนกลับมาสร้างผลกระทบต่อเราและครอบครัวได้ทุกเมื่อ และในกรณีที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนหรือมีการดูหมิ่น ตรงนี้ต้องได้รับโทษทางอาญาด้วย”

วิรัช ให้คำแนะนำสำหรับมนุษย์กล้องทั้งหลายด้วยว่า สิ่งที่ต้องรู้คือเราสามารถถ่ายคลิปวิดีโอติดตามการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้โดยไม่มีความผิด แต่ห้ามไปก้าวก่ายขัดขวางการทำงาน ที่สำคัญเมื่อพบพฤติกรรมที่ส่อไปในทางที่ผิดของตำรวจ ทางที่ดีที่สุดคือร้องเรียนต่อหน่วยงานต้นสังกัด มิใช่การประจาน เนื่องจากยังพิสูจน์ความผิดนั้นไม่ได้

ข่าวล่าสุด

ขนส่ง เตือน! รถติดถุงลมนิรภัยทาคาตะ เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต เช็ก-เปลี่ยนฟรี