เลือกตั้ง ก.พ. 62 ยังคลุมเครือ
สถานการณ์ในเวลานี้ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และไม่มีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 อย่างที่คาดการณ์หรือไม่
สถานการณ์ในเวลานี้ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และไม่มีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 อย่างที่คาดการณ์หรือไม่
*********************************
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ไม่แปลกที่หลายฝ่ายต่างจะพร้อมใจออกมาดักคอแสดงความไม่มั่นใจว่าการเลือกตั้งที่ตั้งตารอนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. 2562 ตามโรดแมปคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
เมื่อที่ผ่านมาโรดแมปที่เคยคาดว่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่ 2560 มีเหตุปัจจัยใหม่ๆ ให้ต้องขยับถอยร่นออกมาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ก็ไม่เคยออกมายืนยันสร้างความมั่นใจใดๆ ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 ได้จริง
หากจำได้ในปี 2560 พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปพบปะกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ตามคำเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ให้คำมั่นชัดเจนว่าจะเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากลของไทยที่จะเป็นไปตามโรดแมป
พร้อมประกาศเป็นสัญญาประชาคมต่อหน้าชาวโลกว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในปี 2561 สอดรับกับที่หลายฝ่ายคำนวณตามปฏิทินว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นราวเดือน พ.ย. 2561
ท่าทีความชัดเจนที่เกิดขึ้นเป็นผลจากแรงกดดันทั้งในและนอกประเทศที่ต้องการเห็นความชัดเจนว่าประเทศไทยจะเดินหน้าไปสู่กฎกติกาสากลอย่างแท้จริง ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการยื้ออำนาจ และการเตรียมกระโดดลงสนามการเมืองเต็มตัวของ พล.อ.ประยุทธ์
แต่ยังไม่ทันที่ทุกอย่างจะเดินหน้าไปตามโรดแมปที่วางไว้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ใช้อภินิหารทางกฎหมายปรับแก้เนื้อหาในร่างของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. กำหนดให้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน
ด้วยเหตุผลเนื่องจากให้พรรคการเมืองเก่าใหม่ได้มีเวลาเตรียมความพร้อม ตามกฎกติกาที่ออกมาใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมา คสช.ยังไม่ได้ปลดล็อกให้พรรคการเมืองสามารถประชุมคัดเลือกกรรมการบริหารพรรค ไปจนถึงการทำไพรมารีโหวตสรรหาผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในแต่ละเขต
ทั้งหมดส่งผลให้การเลือกตั้งที่เคยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 2561 ต้องขยับออกไปเป็น ก.พ. 2562อย่างไม่มีทางเลือก
แต่เงื่อนเวลาดังกล่าวยังไม่นับรวมกับปัจจัยใหม่อย่างการที่ สนช.เข้าชื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.
ดังจะเห็นจากที่ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)เคยออกมาแสดงความเห็นว่ากรณีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ต้องทดเวลาเพิ่มอีก 2 เดือน สำหรับการวินิจฉัยของศาลประมาณเดือนครึ่งและการนำกลับมาแก้เล็กหลังศาลวินิจฉัยอีกครึ่งเดือน
พร้อมเคาะเบ็ดเสร็จว่าจะทำให้วันเลือกตั้งเคลื่อนจากโรดแมปไปอีกสองเดือน คือ จากเดือน ก.พ. เป็น เม.ย. 2562
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เคยออกมาแสดงความเป็นห่วงว่าการแบ่งประเภทการสมัครและเลือกเป็น 2 ประเภท คือ อิสระ และโดยองค์กร ขณะที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้ในแต่ละกลุ่มเลือกกันเอง การแยกแบบนี้ จึงไม่ใช่การเลือกกันเองอาจจะขัดกับรัฐธรรมนูญ เพราะเท่ากับว่าให้องค์กรเลือกก่อนแล้ว จึงจะเลือกกันเอง
ทว่าในขั้นตอนการพิจารณาของกรรมาธิการ 3 ฝ่าย กรธ. กกต. สนช. ยังเห็นควรให้แยกเป็น 2 ประเภทจึงต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. เดิม สนช. ยืนยันหนักแน่นว่าจะไม่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ถึงขั้นเดินหน้าเสนอร่างกฎหมายถึงนายกรัฐมนตรี
แม้จะมีเสียงทักท้วงและแสดงความเป็นห่วง ในทำนองที่หากไม่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความตอนนี้ แต่ต่อไปมีคนไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความและในกรณีศาลตัดสินว่าขัดรัฐธรรมนูญอาจทำให้การเลือกตั้งที่เกิดไปแล้วเป็นโมฆะสร้างความวุ่นวายในอนาคต
แต่สุดท้าย สนช.ก็กลับลำต้องถอยมายื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความจนถูกมองว่าอาจเป็นแผนยื้อการเลือกตั้งออกไปเพราะแทนที่จะยื่นไปพร้อมกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย สว.กลับดึงเรื่องไว้ก่อน ค่อยมายื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญในภายหลัง
ทั้งที่ประเด็นซึ่ง มีชัย ออกมาแสดงความเป็นห่วงในกฎหมายฉบับนี้มี 2 ประเด็น ได้แก่ เรื่องการตัดสิทธิผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ห้ามดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ผู้บริหารท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อันอาจเป็นการตัดสิทธิเสรีภาพขัดรัฐธรรมนูญได้
อีกประเด็นคือกรณีให้คนอื่นลงคะแนนเสียงแทนผู้พิการได้ ซึ่งเดิม กรธ.กังวลเรื่องนี้ จึงเขียนว่าให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือเพื่อให้ผู้พิการลงคะแนนด้วยตนเอง แต่ สนช.ปรับแก้ไขใหม่กำหนดให้ เจ้าหน้าที่ลงคะแนนให้ได้ อันอาจขัดกับรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงคะแนนโดยตรงและลับ
เงื่อนไขด้านกฎหมายตรงนี้มีความสำคัญเพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้กรอบเวลาเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง 150 วัน ต้องเริ่มต้นจากการมีผลบังคับใช้กฎหมายลูก 10 ฉบับ ซึ่งเวลานี้เหลืออยู่ 2 ฉบับ ที่ถือเป็น 2 ฉบับสำคัญดังนั้น หากสองฉบับมีอันต้องค้างคาอยู่ในกระบวนการไม่เสร็จสิ้นย่อมเป็นเงื่อนไขที่เป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่อาจเกิดขึ้น
สถานการณ์ในเวลานี้จึงยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และไม่มีความชัดเจนว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือน ก.พ. 2562 อย่างที่คาดการณ์หรือไม่


