นาฬิกา-เสือดำ-ยืม 300 ล้าน ปรากฏการณ์สังคมยี้
ทั้ง 3 ปม ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นคลอนเสาหลักของสังคมเป็นอย่างมาก จนต้องติดตามดูว่าตอนจบของแต่ละเรื่องจะเดินไปทางไหน
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
อุณหภูมิการเมืองไต่ระดับความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงโค้งสุดท้ายปลายโรดแมปคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ท่ามกลางความคลุมเครือของปฏิทินการเลือกตั้งที่ยังไม่มีความชัดเจน
ล่าสุดระเบิดเวลา 3 ลูกใหญ่ ถูกถอดสลักรอวันระเบิด นับเป็นอีกปรากฏการณ์สำคัญที่จะส่งผลเขย่าเสถียรภาพและทิศทางการเมือง ตลอดจนภาพรวมในสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ
เริ่มตั้งแต่เรื่องแรก “นาฬิกา” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าจะเข้าข่ายจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงหรือไม่
ความคลุมเครือขยายวงมากขึ้นเมื่อ พล.อ.ประวิตร ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว โดยประกาศจะชี้แจงต่อ ป.ป.ช.เท่านั้น มีเพียงแค่คำอธิบายจากแหล่งข่าวคนใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร ที่อธิบายว่านาฬิกานั้นไม่ใช่ของ พล.อ.ประวิตร แต่ยืมเพื่อนมา จึงไม่จำเป็นต้องชี้แจงต่อ ป.ป.ช.
ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยังออกมาระบุว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดิน ไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ขอให้รอผลสอบ ป.ป.ช.
ส่งผลให้ยิ่งฉุดความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล คสช.อย่างรุนแรง ซ้ำเติมปัญหาเลื่อนวันเลือกตั้ง
นำมาสู่การรวมตัวของกลุ่มประชาชนคนอยากเลือกตั้ง ที่มีแนวร่วมให้ความสนใจออกมาร่วมเคลื่อนไหวจำนวนมาก ท่ามกลางมาตรการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่โดยใช้ทั้งคำสั่ง คสช. และ พ.ร.บ.การชุมนุมเข้ามาดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม 39 คน ที่ส่อแววจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
ยังไม่รวมกับแรงกดดันให้ พล.อ. ประวิตร ลาออกจากตำแหน่ง จนถึงขั้นมีการล่ารายชื่อในโซเชียลมีเดีย เมื่อเจ้าตัวประกาศจะลาออกหากประชาชนไม่ต้องการ ซึ่งสุดท้ายเกิดปรากฏการณ์กลุ่มคนที่ออกมาล่ารายชื่อให้กำลังใจ พล.อ.ประวิตร ซึ่งอาจบานปลายไปถึงขั้นเกิดการปะทะกันในอนาคต
เรื่องที่สอง การจับกุม เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ที่พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก พร้อมของกลางเป็นซากเสือดำที่ชำแหละเรียบร้อย พร้อมอาวุธปืน จนนำมาสู่การตั้ง 9 ข้อหา ซึ่งทางเปรมชัยปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และใช้เงิน 1.5 แสนบาท ขอประกันตัว
ในวันที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การขุดคุ้ยประวัติการเข้าป่าล่าสัตว์ของเปรมชัยมาหักล้างกับคำให้การที่ผ่านมา ประกอบกับการตรวจค้นบ้านพักของเปรมชัย ที่พบทั้งงาช้างและปืน 40 กระบอก ไปจนถึงเรื่องคนที่มีตำแหน่งระดับสูง ซึ่งประสานเปิดทางให้เปรมชัยเข้าพื้นที่
สัญญาณจาก พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ค่อนข้างชัดเจนว่าปืนยาวที่พบในบ้านพักของเปรมชัยคล้ายปืนที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร และในมุมมองของนักสืบก็มองว่ามีเจตนาเข้าไปล่าสัตว์ชัดเจน
แม้จะจำนนด้วยหลักฐานที่ชัดเจนขนาดนี้ แต่ด้วยอำนาจเงินและอิทธิพลของเปรมชัย ทำให้สังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์ดักคอว่าจุดจบของเรื่องนี้คงไม่ง่ายที่จะเห็นภาพเศรษฐีที่กระทำผิดต้องมารับโทษติดคุก แม้จะมีสัญญาณไฟเขียวจากผู้มีอำนาจที่เปิดทางให้ดำเนินคดีได้อย่างเต็มที่
ทั้งหมดล้วนจะพันกลับมาเป็นแรงกดดันที่จะย้อนกลับมายัง คสช. ในฐานะคนวางรากฐานการปฏิรูป ที่หนึ่งในเรื่องสำคัญคือการปฏิรูปกฎหมายไปจนถึงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีเสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง แต่หากกรณียังไม่อาจทำให้เกิดความชัดเจน มีเงื่อนงำที่ค้างคาใจสังคม
สุดท้าย ปมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำของการบังคับใช้กฎหมายระหว่างคนรวยกับคนจนก็ยังเป็นปัญหาที่ค้างคาใจคนในสังคม และเป็นรากเหง้าของความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการคลี่คลายสลายไปอย่างที่ตั้งใจ
มาถึงเรื่องสุดท้าย ปมปัญหาจากสถานบริการวิคตอเรียซีเครท ที่ต้นเรื่องมาจากประเด็นการค้ามนุษย์ นำมาสู่การบุกตรวจค้น หลังได้รับการร้องเรียนว่ามีการลักลอบค้าประเวณีเด็กอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี หลังการตรวจค้นพบบัญชีรายชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปใช้บริการหลายหน่วยงาน ทั้งตำรวจ บช.น. บก.น.4 สน.วังทองหลาง ปคม. บก.ป. และเจ้าหน้าที่สรรพากรเขตพื้นที่
ก่อนที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่าง จะออกมาแฉ ไล่เรียงเส้นทางการเงินหลังเจ้าตัวขายอาบอบนวดให้ กำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของวิคตอเรียซีเครท เมื่อเกือบ 15 ปีก่อน เงินรายได้ของสถานบริการนั้นโยงใยไปถึง บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น ที่มีกำพลเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 กลายเป็นเรื่องสะเทือนวงการเมื่อเงินจากวงการสีเทาเข้ามาเกี่ยวพันกับเงินในตลาดหลักทรัพย์ฯ
สุดท้ายกลายเป็นประเด็นช็อกวงการเมื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีต ผบ.ตร. ออกมายอมรับว่าเคยยืมเงินกำพล 300 ล้านบาท จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าในฐานะ ผบ.ตร. แต่กลับไม่รู้ที่มาที่ไปของเงินดังกล่าวว่าผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร และ ตบท้ายด้วยวลีที่สั่นคลอนวงการสีกากี เมื่ออดีต ผบ.ตร.ระบุชัดว่า “ตลอดชีวิตรับราชการของผม เกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจนี่ถือว่าเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลักๆ ผมคือทำธุรกิจ”
ทั้ง 3 ปม ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ที่สั่นคลอนเสาหลักของสังคมเป็นอย่างมาก จนต้องติดตามดูว่าตอนจบของแต่ละเรื่องจะเดินไปทางไหน และส่งผลต่อภาพรวมของสังคมอย่างไร


