มหานครสดสวย ท้องฟ้าไร้สายดูสดใส
โครงการมหานครไร้สาย (Smart Metro) ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้จัดงานเฉลิมฉลอง “Sukhumvit..Make a wish
โดย พริบพันดาว
โครงการมหานครไร้สาย (Smart Metro) ของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้จัดงานเฉลิมฉลอง “Sukhumvit..Make a wish ถนนสวยแห่งความสุข” ไปเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วอย่างชื่นมื่นรับฤดูหนาว
กฟน.ได้เร่งรัดดำเนินการรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายไฟฟ้าและสายสื่อสารในบริเวณถนนสุขุมวิททั้ง 2 ฝั่ง รวมระยะทาง 12 กิโลเมตร ซอยเลขคี่ ซอย 1-71 และฝั่งซอยเลขคู่ ซอย 2-สามแยกพระโขนง ประกอบด้วยเสาไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 544 ต้น ได้ระดมทำงานกันตลอด 24 ชั่วโมงอย่างต่อเนื่องจนแล้วเสร็จก่อนกำหนดที่วางไว้
เนื่องจากถนนสุขุมวิทเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่จำนวนมาก รวมถึงเป็นพื้นที่ที่แสดงถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทย
สำหรับเสาไฟฟ้าในโครงการที่รื้อถอนแล้วทั้งหมด กฟน.ได้มอบให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินโครงการปลูกป่าในใจคนตามศาสตร์พระราชาของกรุงเทพมหานคร ในการช่วยฟื้นฟูและป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลกรุงเทพฯ เขตบางขุนเทียน เป็นระยะทางประมาณ 4.7 กิโลเมตร
โครงการมหานครไร้สายครอบคลุมถนนสายหลักทั่วกรุงเทพมหานคร รวม 39 เส้นทาง เช่น จิตรลดา ปทุมวัน พญาไท สีลม พระราม 3 รัชดาภิเษก ประดิพัทธ์ สะพานควาย พระราม 9 ลาดพร้าว รามคำแหง สุขุมวิท จรัญสนิทวงศ์ แจ้งวัฒนะ โดยใช้วงเงินลงทุนกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท กำหนดแล้วเสร็จภายในเวลา 10 ปี นับเป็นการจัดระเบียบสายไฟครั้งใหญ่เพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียนในอนาคต
มหานครไร้สาย (Smart Metro)
เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สภาพบริเวณแยกชิดลมหลังจากที่มีการจัดระเบียบนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินไปบางส่วนมีสภาพแปลกตาไปจากเดิมมาก โดยถนนชิดลมเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องที่ กฟน.เข้าไปจัดระเบียบนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินในโครงการ “มหานครไร้สาย ถอนเสาไฟให้เมืองสวย Smart Metro” เป็นความร่วมมือระหว่าง กฟน. สำนักงาน กสทช. บริษัท ทีโอที กรุงเทพมหานคร และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในโครงการเพื่อเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าและสายสื่อสารโทรคมนาคมแบบสายอากาศเป็นระบบสายใต้ดิน
ย้อนกลับไปดูที่มาของโครงการนี้อันน่าตื่นใจตื่นตาของคนกรุงเทพฯ และปริมณฑล เริ่มขึ้นเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าลงดินของ กฟน. ภายใต้งบประมาณ 143,092 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมสภาพภูมิทัศน์บ้านเมืองให้สวยงาม เพิ่มความปลอดภัยให้ชีวิตประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพยิ่งขึ้นเเล้ว
โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วย โครงการย่อยที่ 1 ปี 2557-2565 49 เส้นทาง รวมระยะทาง 144.6 กม. แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 99.2 กม. นนทบุรี 12.3 กม. สมุทรปราการ 33.1 กม.
โครงการย่อยที่ 2 ปี 2558-2560 30 เส้นทาง รวมระยะทาง 117 กม. แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 92.6 กม. และนนทบุรี 24.4 กม.
เมื่อรวมทั้งสิ้นจะมี 79 เส้นทาง รวมระยะทางทั้งหมด 261.6 กม. แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 191.8 กม. นนทบุรี 36.7 กม. และสมุทรปราการ 33.1 กม.
การดำเนินการนำสายไฟฟ้า สายสื่อสารลงใต้ดิน เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาและสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทย อีกทั้งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทันสมัยของกรุงเทพมหานคร ที่ต้องพัฒนาระบบไฟฟ้าในพื้นที่สำคัญทางเศรษฐกิจให้มีระบบไฟฟ้าที่มั่นคงด้วยนวัตกรรมที่ล้ำสมัย ตอบรับวิถีชีวิตหรือไลฟ์สไตล์คนเมือง
รวมถึงการเพิ่มความเพียงพอมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้า มีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุเสาไฟฟ้าหักโค่น และภูมิทัศน์ที่สวยงาม ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม มุ่งสู่การเป็นมหานครแห่งอาเซียน
ที่จริงแล้ว “มหานครไร้สาย” เป็นแนวคิดและความฝันที่พยายามสร้างทำกันมาตั้งแต่ปี 2527 ด้วยข้อดีของการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน คือ
1.ระบบจำหน่ายไฟฟ้าจะมั่นคง ซึ่งเป็นการลดอัตราการเกิดปัญหาไฟฟ้าดับและรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสังคมเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.ช่วยให้ทัศนียภาพในเมืองสวยงามยิ่งขึ้น
3.ช่วยลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น อุบัติเหตุจากรถชนเสาไฟฟ้า หรือเกี่ยวสายสื่อสารทำให้เสาไฟฟ้าล้ม ฝนตกลมพายุแรงที่อาจจะพัดกิ่งไม้ แผ่นสังกะสี หรือป้ายโฆษณามาเกี่ยวสายไฟฟ้าได้
แต่ด้วยความพร้อมและเรื่องงบประมาณที่สูง แนวคิดมหานครไร้สายด้านระบบไฟฟ้า รองรับโดยเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินและจ่ายไฟฟ้า มาเร่งเครื่องอย่างเต็มที่ในปี 2558 และในปี 2559 มีการร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยจัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงโครงการนำสายสื่อสารลงใต้ดินระหว่าง 5 หน่วยงาน คือ กฟน. สำนักงาน กสทช. กรุงเทพมหานคร สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำหรับวิธีการนำสายสื่อสารลงท่อร้อยสายใต้ดิน ได้นำเทคโนโลยี Air Blown System หรือการร้อยสายสื่อสารด้วยแรงดันลมมาใช้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รวดเร็วและทันสมัย มีประสิทธิภาพสามารถร้อยสายสื่อสารด้วยความเร็ว 100 เมตร/นาที มีระยะทางการควบคุมได้ไกลกว่า 4 กม. อีกทั้งยังเป็นเทคโนโลยีที่ใช้พื้นที่น้อย ช่วยลดผลกระทบด้านการทำงานบนพื้นที่ผิวจราจร ทำให้สามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จพร้อมกับการรื้อถอนเสาไฟฟ้าได้ตามแผนงาน
แผนงานโครงการนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดินในปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งล้วนเสร็จแล้วได้แก่ โครงการถนนพหลโยธิน (ห้าแยกลาดพร้าว-อนุสาวรีย์ชัยฯ) กฟน.ได้กำหนดการดำเนินงานรื้อถอนเสาไฟฟ้าเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ห้าแยกลาดพร้าว-คลองบางซื่อ (วันที่ 1-15 ส.ค. 2560) ระยะที่ 2 ถนนประดิพัทธ์ (วันที่ 16-31 ส.ค. 2560) ระยะที่ 3 ถนนบางซื่อ-ซอยพหลโยธิน 7 (วันที่ 1-15 ก.ย. 2560) และระยะที่ 4 ซอยพหลโยธิน 7-อนุสาวรีย์ชัยฯ (วันที่ 16-30 ก.ย. 2560) ทั้งนี้สำหรับเสาไฟฟ้าในโครงการที่รื้อถอนแล้ว รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 800 เสา
โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อแก้ปัญหาภายใน 5 ปี โดยสายไฟฟ้าใต้ดินในกรุงเทพฯ เริ่มต้นแห่งแรกที่ถนนสีลม ตั้งแต่ปี 2527 ปัจจุบันเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 22 ถนน รวม 40 กม. จากแผนทั้งหมด 200 กม. เริ่มจากแหล่งเศรษฐกิจ ท่องเที่ยว และโบราณสถาน อย่างถนนสีลม สุขุมวิท พหลโยธิน ราชวิถี ฯลฯ บางแห่งยังคงมีเสาไฟและสายไฟหลงเหลือให้เห็นอยู่ ทว่าไม่ใช่สายไฟฟ้าอากาศแต่เป็นสายไฟสื่อสาร ซึ่งจะมีโครงการย้ายลงไปใต้ดินด้วยถนนไฟฟ้าไร้สาย
ทั้งนี้ ทาง กฟน.ยืนยันว่าการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินมีขั้นตอนความปลอดภัยสูง ทำให้ปลอดภัยจากกระแสไฟฟ้ารั่วและสามารถแช่น้ำได้หากน้ำท่วม เนื่องจากใช้สายหุ้มฉนวนกันน้ำแบบพิเศษ บรรจุอยู่ในท่อหนา ถมด้วยคอนกรีตอีกชั้นหนึ่ง ปัจจุบันทยอยทำพร้อมรถไฟฟ้าบีทีเอสเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินงาน
ถึงแม้การเปลี่ยนเป็นระบบสายไฟฟ้าใต้ดินจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าสายไฟฟ้าอากาศ 15 เท่า แต่การลงทุนครั้งนี้นอกจากจะเพิ่มความมั่นคงให้ระบบการจ่ายไฟแล้ว ยังทำให้ระบบภูมิทัศน์สวยงามมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการรองรับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสังคมเมือง
รวมทั้งยังลดอุบัติเหตุที่เกิดจากเสาไฟฟ้าอากาศ เช่น รถยนต์ชนเสาไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งภายในปี 2561 จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของถนนรัชดาภิเษก ถนนศรีอยุธยา (ดำเนินการต่อมาจากพหลโยธินและราชวิถี) และถนนพระราม 3 เพื่อเปลี่ยนกรุงเทพฯ ให้เป็นมหานครไร้สายในอีกไม่นาน
ความภูมิใจในภูมิทัศน์ชุมชนเมือง
ศิวพงศ์ ทองเจือ สถาปนิกผังเมือง รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการเติบโตอย่างชาญฉลาด และอาจารย์สาขาวิชาการจัดการงานสถาปัตยกรรม คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต มองว่าตอนนี้ทั้งกรุงเทพฯ และเมืองใหญ่ตามภูมิภาคต่างๆ กำลังนำสายไฟฟ้าและรื้อถอนเสาไฟฟ้าลงดิน ถือว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ หลังจากรอมานานมาก
“ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีในการนำสายไฟฟ้าลงดิน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ ตามภูมิภาคของประเทศ เมืองแรกที่ได้นำสายไฟฟ้าลงดินคือเทศบาลนครตรัง ที่มีพัฒนาการเรื่องสายไฟฟ้าลงดินต่อเนื่องจนครบทั้งเมือง ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่สวยงามขึ้น”
ศิวพงศ์ ขยายความต่อถึงรายละเอียดว่า ในความเป็นจริงหากเทียบงบประมาณระหว่างการนำสายไฟฟ้าลงดินกับแบบเสาไฟฟ้ายืนต้น จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก
“ในสหรัฐอเมริกา บางมลรัฐแม้ในประเทศพัฒนาแล้วก็ไม่นำสายไฟฟ้าลงใต้ดินทั้งหมด เนื่องจากต้นทุนที่แพงกว่าและการบำรุงรักษาที่ค่อนข้างยุ่งยากกว่าแบบเสาไฟฟ้า โดยเฉพาะในเขตน้ำท่วมหรือเขตที่มีพายุของอเมริกาในบางเมือง หากสายเคเบิลใต้ดินเสียหายย่อมมีราคาแพงกว่าเสาไฟฟ้าค่อนข้างมาก
หากเน้นเรื่องต้นทุนการบำรุงรักษาเสาไฟฟ้าย่อมมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างถูกกว่าสายไฟฟ้าลงดินอยู่แล้ว แต่หากจะนำสายไฟฟ้าลงดินควรพิจารณาถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่ได้รับกลับมาจากการไม่มีเสาไฟฟ้าบดบังทัศนียภาพ เช่น ในเขตย่านเมืองเก่าเพื่อการอนุรักษ์ ที่มีคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมการท่องเที่ยว”
แนวคิดการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินของเมืองใหญ่ ในฐานะที่ศิวพงศ์เป็นนักภูมิสถาปัตย์เมือง ทั้งของต่างประเทศและไทยส่งผลต่อวิถีชีวิตและจิตใจของคนเมืองในแบบไหน
“ผมมองว่าภูมิทัศน์ชุมชนเมือง (Urban Landscape) มีผลต่อการรับรู้ของคนเมือง และความผูกพันต่อสถานที่ (Séance of Place) โดยเฉพาะพื้นที่ใจกลางเมือง (The Great Place) มีผลต่อความรู้สึกภาคภูมิใจของคนที่อาศัยในเมืองนั้นๆ ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ของประชาชน (Public Realm)
พื้นที่ในลักษณะนี้ในต่างประเทศให้ความสำคัญค่อนข้างมาก เนื่องจากพื้นที่สาธารณะของประชาชนเหล่านี้ แสดงถึงความมีชีวิตชีวาภายในเมือง การทำกิจกรรมร่วมกันของคนเมือง เป็นพื้นที่ทางวัฒนธรรมประเพณีกิจกรรมต่างๆ มักเกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้ เนื่องจากคุณภาพของพื้นที่สาธารณะในเมือง เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการบริหารจัดการเมืองของผู้บริหารเมืองที่ประชาชนค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะในต่างประเทศ”
กรณีอย่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีสายไฟรกรุงรังในเมืองไม่แพ้เมืองไทย ศิวพงศ์ มองตรงจุดนี้ว่า ประเทศญี่ปุ่นบางเมืองไม่ได้นำสายไฟฟ้าลงดินทั้งหมด แต่มีการจัดระเบียบของสายไฟฟ้าที่ค่อนข้างดี
“เหตุที่ไม่นำสายไฟฟ้าลงดินเนื่องจากต้นทุนในการบำรุงรักษาที่ค่อนข้างแพง และยังไม่มีความจำเป็นในการรื้อย้าย เช่น ชุมชนขนาดเล็กที่ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญมากนัก ก็ไม่มีความจำเป็นในการนำสายไฟฟ้าลงดิน การนำสายไฟฟ้าลงดินจึงมีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ที่คุ้มค่าต่อการลงทุน เช่น แหล่งท่องเที่ยวย่านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ พื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ”
การที่ประเทศไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก กับการเป็นเมืองไร้สายสามารถส่งเสริมและเพิ่มมูลค่าได้เป็นอย่างดี ศิวพงศ์ ชี้ว่า การรักษาในเรื่องของภูมิทัศน์ชุมชนเมือง รวมถึงสามารถช่วยป้องกันอุบัติภัยที่เกิดขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวได้
“โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่าของประเทศไทยที่มีค่อนข้างมาก และเป็นแหล่งสร้างรายได้ของประชาชนและช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศ การนำสายไฟฟ้าลงดินในแหล่งท่องเที่ยวดังกล่าวอย่างเช่นเมืองเก่า จึงย่อมคุ้มค่าต่อการลงทุนค่อนข้างสูง และสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีคุณภาพและมาตรฐาน จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาภูมิทัศน์เมืองให้มีความสวยงามยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เรื่องภูมิทัศน์เมืองถือได้ว่าเป็นตัวชี้วัดคุณภาพและมาตรฐานของแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ อีกด้วย ก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจภายในพื้นที่นั้นๆ ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต”
เดินหน้าเมืองไร้สายในภูมิภาคต่างๆ ของไทย
โครงการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าใต้ดินของ กฟน. ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันมีระยะทาง 172.7 กม. ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด คือ กทม. นนทบุรี และสมุทรปราการ
สำหรับในส่วนภูมิภาค ตามหัวเมืองใหญ่ต่างๆ ในต่างจังหวัด รวมถึงเมืองท่องเที่ยว จ.ตรัง เป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยที่เริ่มนำสายไฟฟ้าและสายเคเบิลลงใต้ดินตั้งแต่ปี 2545 หรือเมื่อเกือบ 16 ปีที่แล้ว เพื่อเป็นการปรับจัดภูมิทัศน์ของเมืองให้เป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามส่งเสริมการท่องเที่ยวและเพื่อความปลอดภัยของประชาชน โดย จ.ตรัง มีเป้าหมายชัดเจนที่จะนำสายไฟลงใต้ดินให้ได้ทั้งเมืองภายในปี 2562
จ.เชียงใหม่นั้น เทศบาลนครเชียงใหม่ได้เริ่มดำเนินการราวๆ ปี 2548 ในถนนช้างคลานย่านไนท์บาซาร์ ประมาณ 800 เมตร และท่าแพ 1.1 กม. มาแล้วเสร็จในปี 2553 และมาเริ่มอีกครั้งในปี 2557
เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2560 ครม.มีมติให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 ภายใน 5 ปี (2559-2563) วงเงินลงทุน 11,668 ล้านบาท โดยเริ่มโครงการนำร่องกับเทศบาลเมืองและเทศบาลนคร 4 แห่ง คือ เชียงใหม่ นครราชสีมา พัทยา และหาดใหญ่
หลังจากนั้นจะทยอยเพิ่มเติมอีก 8 เมือง เพื่อปรับปรุงระบบไฟฟ้าให้มีความมั่นคง เชื่อถือได้ รองรับความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น และปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม
ทางเทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา มีโครงการพัฒนาระบบไฟฟ้าในเมืองใหญ่ ระยะที่ 1 ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบไฟฟ้าแรงสูงและแรงต่ำเป็นระบบ Underground Cable โดยมีระยะเวลาดำเนินการโครงการ 5 ปี (2560-2564)
ส่วนเมืองท่องเที่ยวในภูมิภาคต่างๆ ก็ขยับตัว ที่ จ.บุรีรัมย์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ในโครงการเคเบิลใต้ดินบริเวณถนนเสด็จนิวัติ จ.บุรีรัมย์ โดยเริ่มมาก่อนตั้งแต่ในปี 2555 จัดระเบียบสายไฟฟ้าสายสัญญาณสนองนโยบายรัฐบาลเพื่อความสวยงามส่งเสริมการท่องเที่ยว
จ.น่าน ก็เช่นกัน สายไฟลงใต้ดินเฟสแรกเสร็จสิ้นตั้งแต่ปี 2555 บริเวณข่วงเมือง ช่วงวัดช้างค้ำ วัดภูมินทร์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ส่วนเฟส 2 ดำเนินการ 2 ช่วง โดยจุดที่เสร็จสิ้นแล้วคือ ช่วงถนนสุมนเทวราช จากสี่แยกประตูน้ำเข้มถึงสี่แยกร้านนรา ขณะที่ช่วงที่ 2 ตั้งแต่สี่แยกร้านนรา-สามแยกสารพัดช่าง ระยะทางประมาณ 800 เมตร หลังจากนั้นจะเริ่มเฟส 3 บริเวณถนนมหาพรหมทั้งเส้น
เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 ดร.สมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น เป็นประธานเปิดโครงการคิกออฟจัดระเบียบสายไฟฟ้าสายสื่อสาร ซึ่ง จ.ขอนแก่น จับมือกับ กฟภ.และผู้ประกอบการสื่อสารจัดระเบียบสายไฟฟ้าสายสัญญาณสนองนโยบายรัฐบาลและส่งเสริมเมืองท่องเที่ยว โดยเร่งจัดระเบียบสายไฟและสายสื่อสารโทรคมนาคม แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของ จ.ขอนแก่น
เมืองท่องเที่ยวอื่นๆ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลก นำสายไฟฟ้าลงดินรอบเมือง งบประมาณ 300 ล้านบาท เฟสแรกเริ่มดำเนินการรอบอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา แผนการทำงานนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
จ.หนองคาย เริ่มดำเนินการนำลงใต้ดินเฟสแรก เดือน ก.ค.ที่ผ่านมา นำร่องบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัด จ.ลำพูน ก็เป็นอีกจังหวัดที่ดำเนินการแล้วในบางเส้นทางย่านท่องเที่ยว ไม่นับ จ.ภูเก็ต เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับนานาชาติ รวมถึง จ.ลพบุรี ที่ทำแล้วเสร็จไปส่วนใหญ่ดูงดงามเจริญหูเจริญตา เมื่อยามมองขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่มีสายไฟและสายเคเบิลสื่อสารให้รำคาญสายตา
มองเห็นฟ้ากว้างเมืองสวยเบิกบานหัวใจ


