หักดิบปตท.ซื้อคาร์ฟูร์ ปฏิบัติการกำราบมือดีใช้เงิน
การออกมาคัดค้านแผนการใช้เงินร่วม 33.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
การออกมาคัดค้านแผนการใช้เงินร่วม 33.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดย...ทีมข่าวการเงิน
การออกมาคัดค้านแผนการใช้เงินร่วม 33.1 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เข้าซื้อกิจการห้างค้าปลีกคาร์ฟูร์ในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซียของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ในแวดวงธุรกิจและตลาดทุน
แม้ข้อทักท้วงของนายอภิสิทธิ์ที่แจ้งต่อ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน ว่า ต้องการให้ผู้เกี่ยวข้องดูแลผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจและของประเทศชาติ อาจไม่ตรงหรือไม่สอดคล้องกัน
ก่อนสำทับในหลักการของรัฐว่า ต้องยึดตามรัฐธรรมนูญว่ารัฐวิสาหกิจจะประกอบกิจการแข่งขันกับเอกชนไม่ได้ ยกเว้นมีเหตุผลความจำเป็นจึงต้องระมัดระวัง เพราะจะมีคำถามว่า ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจค้าปลีก อะไรคือเหตุผลความจำเป็นที่หน่วยงานรัฐ เช่น ปตท. จะต้องเข้าไปดำเนินการ
สอง มีประเด็นในแง่ขององค์กรว่า วัตถุประสงค์ขององค์กรคืออะไร
ขณะที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ก็คัดค้านโดยยกเหตุผลว่า แม้สถานภาพที่ ปตท.จะเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ผู้บริหารตีความว่าการดำเนินการดังกล่าว ปตท.สามารถดำเนินการได้ เพราะถือว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจและสร้างผลกำไรแก่บริษัท แต่ภารกิจหลักขององค์กรรัฐวิสาหกิจแห่งนี้คืออะไร
ถ้าเป็นเรื่องการสร้างความเข้มแข็งของพลังงานแห่งชาติ ปตท.ก็ควรให้น้ำหนักในเรื่องที่เป็นภารกิจหลักเป็นตัวตั้ง มิใช่เดินออกนอกตรอกซอกซอย
ข้อทักท้วงของนายอภิสิทธิ์และนายกรณ์ ที่กำกับนโยบายจึงถือว่าฟังขึ้น
การที่ นพ.วรรณรัตน์ สั่งการให้ ปตท.ยุติการดำเนินการเข้าซื้อกิจการคาร์ฟูร์ก็ถือว่าถูกต้อง
การที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) ออกมาบอกว่า จะยกเลิกการเข้าประมูล และถึงแม้จะไม่เข้าร่วมประมูลซื้อบริษัทจะไม่สูญเสียโอกาสทางธุรกิจ และการตัดสินใจก็ไม่ได้มีใครสั่งมาโดยตรง เป็นการตัดสินใจโดยฟังความเห็นหลายๆ ฝ่าย เพราะผู้ถือหุ้นไม่เห็นด้วย ก็ถือเป็นการสนองตอบต่อนโยบายที่ดี
แต่หากพิเคราะห์ถึงคำชี้แจงของนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สื่อสารองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. ที่บอกว่าสาเหตุที่บริษัท ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก (PTTRM) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ดำเนินธุรกิจค้าปลีกมีความสนใจในการเข้าร่วมประมูลกิจการห้างคาร์ฟูร์ เพราะ...
หนึ่ง PTTRM ได้มีการศึกษาแนวโน้มการทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในต่างประเทศ เช่น ประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย พบว่าการทำธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเพียงอย่างเดียวมีแนวโน้มลดลง และเริ่มปรับเปลี่ยนเป็นการจัดตั้งสถานีบริการน้ำมันควบคู่ไปกับธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้การค้าน้ำมันส่วนใหญ่จำหน่ายผ่านช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตสูงมากขึ้นเป็นลำดับ
สอง สถานที่ตั้งของห้างคาร์ฟูร์ จากจำนวนทั้งหมด 43 แห่ง ส่วนมากตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเป็นบริเวณที่ ปตท. มีจำนวนสถานีบริการน้ำมันอยู่น้อย ไม่เพียงพอต่อการให้บริการแก่ประชาชน จึงเป็นโอกาสที่ ปตท. จะได้ขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันให้ครอบคลุมบริเวณดังกล่าวได้มากขึ้น และสามารถเป็นช่องทางการขยายการจำหน่ายสินค้าและบริการของ ปตท. อาทิ น้ำมันหล่อลื่น บริการคาร์แคร์ เพื่อให้บริการลูกค้าได้หลากหลายและมากขึ้น
สาม ปตท.สามารถใช้เครือข่ายไฮเปอร์มาร์เก็ตในการสนับสนุนสินค้าของคนไทยและของชุมชน รวมทั้งส่งเสริมธุรกิจค้าปลีกรายย่อยของคนไทยให้เข้มแข็งและเติบโตไปพร้อมกันได้ด้วย
เหตุและผลที่ยกมาอรรถาธิบายก็พอมองเห็นช่องทางการเติบโตของธุรกิจ ปตท.ได้
ขณะเดียวกันก็พอมองเห็นวิธีคิดของ ปตท.ได้ว่า ต้องการใช้เครือข่ายของห้างคาร์ฟูร์เป็นช่องทางการจัดจำหน่าย
เพียงแต่ต้องอรรถาธิบายลงไปให้ชัดว่า การควักเงินจากบริษัท ปตท.รอบเดียวร่วม 23 หมื่นล้านบาทไปซื้อกิจการนั้นคุ้มค่าหรือไม่
ถ้าต้องการใช้ช่องทางของไฮเปอร์มาร์เก็ต ทำไมไม่ใช้ยุทธวิธีการเจรจากับไฮเปอร์มาร์เก็ตเพื่อขอใช้พื้นที่สร้างปั๊ม สร้างช่องทางในการขายน้ำมันหล่อลื่น คาร์แคร์ ซึ่งน่าจะมีต้นทุนทางการเงินที่ถูกกว่ามากๆ
อย่าลืมว่าการควักเงินออกไปลงทุนคราวเดียวร่วม 23 หมื่นล้านบาท กับการเช่าพื้นที่แล้วจ่ายค่าเช่าพื้นที่ไม่กี่แสนบาทต่อเดือน และสามารถระงับหรือยกเลิกการลงทุนในบางพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมได้นั้น แตกต่างกันลิบลับในเรื่องของอำนาจแห่งการใช้เงิน
เช่นเดียวกันก็ต้องอธิบายเพิ่มเติมว่า บริเวณห้างคาร์ฟูร์ 43 แห่งที่ตั้งอยู่ และ ปตท.อ้างว่า จะเข้าไปซื้อนั้น ปั๊ม ปตท.ไม่อยู่จริงหรือ?
ขณะเดียวกันก็ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ปตท.มีเงินเหลือใช้มากมายขนาดนี้เลยหรือ
ถ้าเหลือมากมายทำไม ไม่ปันผลคืนกลับผู้ถือหุ้น หรือถ้าหากว่าธุรกิจนี้สามารถทำกำไรมากมายมหาศาลทำไมไม่ลดต้นทุนราคาน้ำมันให้กับลูกค้าที่ใช้บริการ
และถ้าปล่อยให้รัฐวิสาหกิจที่กระทรวงการคลังถือหุ้นอยู่ 51% กองทุนวายุภักษ์หนึ่งถืออยู่อีก 15% นำเงินรายได้ไปลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ภารกิจหลักขององค์กรและเป็นธุรกิจที่แข่งขันกับภาคเอกชนโดยตรง
วันหนึ่งรัฐบาลมิต้องปล่อยให้ กฟผ.มาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยแข่งกับบรรดาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือไม่ก็ต้องปล่อยให้ทีโอที มาลงทุนซื้อกิจการด้านคอมพิวเตอร์หรือ
นี่คือโจทย์ใหญ่ที่รัฐวิสาหกิจซึ่งเสมือนเป็นหัวรถจักรใหญ่ของการลงทุนภาครัฐจะต้องร่วมกันขบคิด
สาธารณชนตลอดจนผู้บริหารบริษัท ปตท. รวมไปถึงผู้บริหารกระทรวงพลังงานต้องไม่ลืมว่า ภารกิจหลักของ ปตท.นั้น คือการสร้างความมั่นคงในด้านธุรกิจพลังงาน มิใช่สร้างหรือขายรถยนต์
ถ้าบริษัท ปตท.ต้องการนำเงินรายได้ที่ตกปีละ 2 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับงบประมาณแผ่นดินในแต่ละปีไปประมูลบ่อน้ำมัน เพื่อรองรับการใช้พลังงานของคนในชาติในระยะยาวแล้วโดนรัฐบาลเบรกจะออกมาร้องคัดค้านและไม่เห็นด้วย เมื่อนั้นสาธารณชนจะยกมือสนับสนุน!!
แต่พฤติกรรมดังว่า กรรมการบริษัท ปตท.และกรรมการบริษัทลูก รวมถึงผู้บริหารหน่วยงานราชการที่กำกับดูแลเชิงนโยบายโดยตรงกลับละเลยเพิกเฉย
ครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้กลับปล่อยให้สิทธิในการเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางที่มีกำลังผลิตร่วม 6 หมื่นบาร์เรลต่อวัน ของ ปตท.หลุดลอยออกไปจากมือหน้าตาเฉย
ทั้งๆ ที่กลุ่มบริษัท ปตท.รายนั้น ได้สิทธิเป็นอันดับแรกในการเสนอราคารอบสุดท้ายเพียงผู้เดียว
แต่กรรมการบริษัท ปตท.กลับยอมให้ “มือที่มองไม่เห็น” เอื้อมเข้ามาสั่งการให้หยุดการเสนอราคา เพื่อเปิดทางให้ “จีนรัสเซีย” เสนอราคาเป็นอันดับสอง อันดับสาม ก่อนที่จะชนะการประมูลคว้าสิทธิบ่อน้ำมันในตะวันออกกลางไป ในห้วงที่ไทยเกิดสุญญากาศทางการเมือง
กรณีการนำเงินจากบริษัท ปตท.ออกไปรอบเดียว 23 หมื่นล้านบาท ไปประมูลซื้อคาร์ฟูร์รอบนี้ก็เช่นเดียวกัน เบื้องหลังมีมือดีที่มองไม่เห็นกำกับอยู่ใช่หรือไม่
ใช่ว่าจะต้องมีการจ้างบริษัทที่ปรึกษามาช่วยงานชิ้นนี้ใช่หรือไม่ วงเงินในการดำเนินการอีกเท่าไหร่?
การออกมาให้ข่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องทางการเมืองที่ขอมา ไม่ต้องการให้ ปตท.เข้าไปแข่งขันกับเอกชนรายอื่นๆ จนทำให้ ปตท.รู้สึกอึดอัดใจที่มีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจมากเกินไป และต้องยอมถอนตัวจากการซื้อห้างคาร์ฟูร์ เพราะผู้ใหญ่ในรัฐบาลขอมา
ขณะที่พรรครวมชาติพัฒนาในฐานะกำกับดูแลกระทรวงพลังงานต้นสังกัด ปตท.ก็ไม่ต้องการขัดแย้งกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอให้ ปตท.ยอมยกเลิกประมูลซื้อคาร์ฟูร์ จึงไม่น่าจะถูกแบบ 100%
เพราะก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นายกรณ์ได้มีการหารือกับผู้บริหาร ปตท.เพื่อทำความเข้าใจกรณีที่ ปตท.จะเข้าประมูลซื้อคาร์ฟูร์แล้วว่า รัฐบาลไม่เห็นด้วยในการนำเงินของรัฐวิสาหกิจจำนวนมาหาศาลออกไปลงทุนในกิจการที่ไม่ใช่ภารกิจหลัก
นอกจากนี้ ก็ไม่เห็นด้วยหากผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจะตัดสินนำเงินจำนวนมหาศาลออกไปลงทุนแบบทันทีทันใด โดยไม่มีการวางแผนการลงทุน หรือเสนอแผนการลงทุนให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจพิจารณาตามปกติก่อน
เพราะถ้า ปตท.ทำได้ รัฐวิสาหกิจอีก 54 แห่ง ที่มีงบประมาณการลงทุนปีละร่วม 3 แสนล้านบาท ก็สามารถกำหนดแผนการลงทุนแบบฉับพลันได้
แม้แต่นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่เป็นกรรมการบริษัท ปตท. ก็ยอมรับว่าการลงทุนแบบนี้ไม่ใช่ภารกิจของ ปตท.
ประเด็นที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมคือการที่รัฐบาลเข้ามาเบรกแผนการซื้อห้างคาร์ฟูร์นั้นกระทบกับบริษัท ปตท.แค่ไหน?
บล.โกลเบล็ก วิเคราะห์ประเด็นดังกล่าวว่า กรณีที่ภาครัฐไม่เห็นด้วยในหลักการกรณีประมูลซื้อกิจการคาร์ฟูร์ถือเป็นสิทธิ เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ปตท.
บล.โกลเบล็ก ประเมินว่า ไม่ว่า ปตท.สามารถซื้อกิจการคาร์ฟูร์ได้หรือไม่ ก็จะไม่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจและราคาหุ้นของ ปตท.อย่างนัยสำคัญ
เนื่องจากด้วยขนาดของธุรกิจของ ปตท.มีขนาดใหญ่ที่มีกำไรราว 68 หมื่นล้านบาทต่อปี
ขณะที่กิจการคาร์ฟูร์ในปี 2552 ที่มีรายได้แค่ 2.5–3 หมื่นบาทต่อปี แต่มีกำไรประมาณ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น หรือคิดเป็นกำไร 0.30 บาทต่อหุ้นซึ่งต่ำมาก...
ผิดกับบริษัท ปตท. ที่นายประเสริฐ บอกว่า ปีนี้น่าจะมีกำไรร่วม 7 หมื่นล้านบาท...


